จากตอนที่แล้ว อาจารย์ทั้งสามท่านได้ให้คำมั่นสัญญาต่ออาจารย์เสนกะว่า “พวกเราร่วมเป็นร่วมตายกันมา ท่านโปรดเชื่อใจเถิด พวกเรารับประกันว่าจะไม่แพร่งพรายความลับของท่านเป็นอันขาด แล้วพวกเราจะบอกความลับของพวกเราให้ท่านทราบในภายหลัง”
อาจารย์เสนกะครั้นคลายความกังวลใจได้แล้ว จึงค่อยๆเปิดเผยความลับของตนว่า “วันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ชวนนางเรวดีผู้เป็นหญิงงามประจำเมือง ไปร่วมอภิรมย์ที่สวนไม้รัง วันนั้นข้าพเจ้าเห็นเครื่องประดับของนางแล้ว ก็อดใจไม่ไหว ยิ่งมองก็ยิ่งอยากได้ ภายหลังจากที่ข้าพเจ้าได้ร่วมอภิรมย์กับนางแล้ว ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจลงมือฆ่านางเสีย จากนั้นก็เก็บเครื่องประดับห่อผ้า นำกลับไปยังเรือนของข้าพเจ้า แต่จนแล้วจนรอดข้าพเจ้าก็ไม่กล้านำไปใช้ ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องนี้ทีไร ก็ไม่สบายใจทุกที ความรู้สึกผิดที่มีต่อนาง ทำให้ข้าพเจ้าไม่อาจจะทนเก็บความลับเอาไว้ได้ จึงได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้สหายรักคนหนึ่งฟัง แต่หลังจากนั้นมา ข้าพเจ้าก็ไม่เคยได้บอกใครอีกเลย”
หลังจากฟังจบลง อาจารย์กามินทะจึงร้อง “อ๋อ..มิน่าเล่า ท่านอาจารย์จึงกราบทูลว่าควรบอกความลับแก่สหาย”
สุดท้ายอาจารย์เสนกะไม่ลืมตอกย้ำว่า “พวกท่านอย่าเที่ยวเผลอไปเล่าให้ใครฟังเป็นอันขาด ถ้าเรื่องนี้ทราบถึงพระราชาเมื่อไหร่ ชีวิตของข้าพเจ้าก็คงสิ้นเมื่อนั้น”
แล้วอาจารย์เสนกะก็เป็นฝ่ายทวงถามอาจารย์ปุกกุสะบ้างว่า “อาจารย์ปุกกุสะ คราวนี้ถึงตาท่านบ้าง ความลับของท่านเป็นอย่างไร ไหนท่านจงเล่าให้พวกเราฟังบ้างซิ อย่าได้อิดเอื้อนเป็นอันขาด”
“ได้สิท่าน” อาจารย์ปุกกุสะรับคำ ว่าแล้วก็เริ่มขยายความลับของตนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน
“พวกท่านคงจะทราบดีว่า เมื่อครั้งที่พระราชายังทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงโปรดปรานกระผมมาก” อาจารย์ปุกกุสะท้าวความ
อาจารย์เหล่านั้นก็รับว่า “ข้อนี้พวกเราทราบดี”
ทั้งหมดต่างปฏิเสธพร้อมกันว่า “ข้อนี้พวกเราไม่รู้เลย ท่านปุกกุสะ”
“กระผมจะเล่าให้ฟัง ในเวลาที่พระราชาทรงพระสำราญ พระองค์จะมีพระกระแสรับสั่งเรียกกระผมให้เข้าไปใกล้ที่ประทับเสมอ แล้วพระองค์ก็จะบรรทมหนุนขาของกระผมอยู่บ่อยๆ พระองค์จะรับสั่งแทบทุกครั้งว่า “ขาของอาจารย์ปุกกุสะนุ่มดีนะ” ท่านเอ๋ย...นั่นแหละเป็นความลับยิ่งยวดในชีวิตของผม”
“ความลับอะไรกัน ท่านพูดให้เข้าใจกว่านี้ได้ไหม” อาจารย์เสนกะซักด้วยสีหน้าหงุดหงิด
อาจารย์ปุกกุสะจึงตอบโดยไม่อ้อมค้อมว่า “ก็จะอะไรเสียอีกเล่า เหตุที่ขาของกระผมอ่อนนุ่มน่าหนุนนอน ก็เพราะกระผมเป็นโรคเรื้อนที่ขา จึงพยายามปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้ใครรู้ ยกเว้นน้องชายของกระผมเท่านั้น กระผมจึงได้น้องชายนี่แหละ ช่วยล้างแผล ใส่ยา แล้วก็เอาผ้าพันแผลตรงบริเวณขาให้มิดชิด จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เหตุใดขาของกระผมจึงมีสัมผัสนุ่ม แต่หากพระองค์ทรงทราบว่ากระผมเป็นโรคเรื้อน ชีวิตของกระผมก็คงหาไม่”
“ฮ้า...จริงๆหรือนี่ กระผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย” อาจารย์กามินทะอุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจ
อาจารย์ปุกกุสะเริ่มไม่พอใจ จึงค่อนแคะอาจารย์กามินทะกลับไปว่า “เอาเถอะ ความลับของท่านไม่ถึงกับคอขาดบาดตายอย่างกระผมบ้างก็แล้วไป”
“ขนาดนั้นเชียวหรือท่านกามินทะ” อาจารย์ปุกกุสะอุทานเสียงดัง
อาจารย์กามินทะก็รีบห้ามว่า “ท่านอย่าเอ็ดไปสิ เดี๋ยวกระผมก็ไม่เล่าให้ฟังหรอก”
“เถอะน่า กระผมแค่อยากรู้เท่านั้นเอง” อาจารย์ปุกกุสะกล่าวแก้
“ถ้าพวกท่านแวะเวียนไปที่บ้านของกระผมในคืนข้างแรม ๑๕ ค่ำ อันเป็นคืนที่มืดมิด ก็จะพบว่า ประตูบ้านถูกปิดสนิท แต่จะได้ยินเสียงประโคมดนตรีที่หน้าประตูคล้ายกับมีงานมหรสพรื่นเริง ที่เป็นดังนั้นก็เพราะว่า กระผมมีเวรกรรมประจำตัวอยู่อย่างหนึ่ง
อาจารย์ปุกกุสะได้ฟังก็ทำท่าตื่นเต้น แต่ก็ไม่กล้าจะพูดอะไรมาก เพราะเกรงว่าอาจารย์กามินทะจะไม่พอใจตนอีก
“เรื่องนี้ไม่มีใครทราบเลย นอกจากลูกชายของกระผมคนเดียว กระผมจึงทูลพระราชาว่า ควรบอกความลับแก่บุตร เพราะกระผมมั่นใจว่า ไม่มีวันที่แกจะแพร่งพรายเรื่องนี้อย่างแน่นอน
พวกท่านก็ลองคิดดูเถิด ถ้าพระราชาทรงทราบเรื่องนี้เข้า กระผมจะเหลืออะไร” ความลับของอาจารย์ทั้งสามล้วนเป็นเรื่องคอขาดบาดตายด้วยกันทั้งนั้น แต่ยังเหลือความลับของอาจารย์เทวินทะอีกคนหนึ่งที่ยังเหลืออยู่ เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)