ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 131


[ 4 ต.ค. 2551 ] - [ 18265 ] LINE it!

ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 131
 
 
    จากตอนที่แล้ว พระเจ้าจุลนีเสด็จทรงม้าพระที่นั่งควบไปอย่างรวดเร็ว ครั้นพระองค์ทรงเห็นว่าเสด็จมาไกล จึงทรงรั้งม้าพระที่นั่งให้ชะลอฝีเท้าลง รอขบวนม้าพระที่นั่งของพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระองค์เสด็จมาทัน จากนั้นจึงเสด็จพระราชดำเนินต่อไปตามปกติ
 
    ฝ่ายพราหมณ์เกวัฏเร่งควบม้าอย่างไม่คิดชีวิต จนกระทั่งสามารถเข้าไปใกล้พระเจ้าจุลนีได้ จึงกราบบังคมทูลว่า “ขอเดชะ พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของข้าพระบาท ขอพระองค์ได้โปรดสดับคำทูลของข้าพระพุทธเจ้าก่อนเถิด พระพุทธเจ้าข้า”
 
    พระเจ้าจุลนีทรงทอดพระเนตรพราหมณ์เกวัฏ ซึ่งบัดนี้ใบหน้าและเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยเลือด จึงหวนรำลึกถึงคุณความดีของพราหมณ์เกวัฏในอดีต พระองค์จึงทรงรั้งม้าให้หยุด แล้วตรัสถามพราหมณ์เกวัฏว่า...
 
“ท่านอาจารย์ได้ยืนยันกับเรามิใช่หรือว่า มโหสถจักเป็นผู้ปราชัยในเลศธรรมยุทธ์ครั้งนี้ แต่ครั้นเอาเข้าจริงๆ ไฉนท่านจึงยอมไหว้มโหสถเสียเล่า ไหนท่านจงบอกเราทีซิว่า สิ่งที่เราเห็นนั้นมันคืออะไรกัน”
“ขอเดชะ ข้าพระองค์กล้ายืนยันว่า ไม่ได้ไหว้มโหสถ ข้าพระองค์ถูกมโหสถลวงว่าจะให้แก้วมณี แต่เมื่อจะให้ก็แกล้งทำแก้วมณีตกลงสู่พื้น ข้าพระองค์จึงก้มลงเก็บ มโหสถจึงถือโอกาสข่มขี่ข้าพระองค์ ทำให้ใครๆที่ได้เห็น ต่างก็เข้าใจผิด ขอพระองค์ทรงอย่าได้ทรงเชื่อศัตรูเป็นอันขาด ทางที่ดีเราควรกลับไปรวมตัวกันเช่นเดิม แล้วคิดหาวิธีถล่มมิถิลานครให้สิ้นซากเถิด พระพุทธเจ้าข้า” พราหมณ์เกวัฏยืนยันหนักแน่น
 
    พระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับเหตุผลนั้นแล้ว ก็ทรงบังเกิดความเชื่อมั่นในพราหมณ์เกวัฏดังเดิม ทรงมีพระบรมราชโองการ ประกาศให้กองทัพทั้งหมดได้รับทราบโดยทั่วกันว่า กองทัพปัญจาลนครจะกลับเข้าประจำที่ดังเดิม และจะเข้าล้อมมิถิลานครไปจนกว่าจะมีคำสั่งต่อไป แม่ทัพนายกองเหล่านั้นรับสนองพระบรมราชโองการแล้ว ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องเรียกไพร่พลของตนให้มารวมกัน เมื่อพร้อมกันแล้วจึงเคลื่อนขบวนทัพบ่ายหน้ากลับไปยังที่ตั้งค่ายเดิม เพื่อล้อมมิถิลานครต่อไป
 
    ลำดับนั้น พระเจ้าจุลนีจึงทรงหารือกับพราหมณ์เกวัฏต่อไปว่า...
 
“ท่านอาจารย์ บัดนี้กองทัพของเราได้กลับมาล้อมมิถิลานครไว้เรียบร้อยแล้ว เราจะทำอย่างไรกันต่อไป จึงจะสามารถรุกเข้าไปในเมืองได้เล่า”
พราหมณ์เกวัฏคิดอุบายได้อย่างหนึ่ง จึงได้ทูลเสนอแนะว่า “ขอเดชะ ข้าพระองค์เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องใช้วิธีสุดท้าย คือ ต้องบีบไว้จนแน่น และจะไม่ยอมปล่อยไปเป็นอันขาด พระพุทธเจ้าข้า”
“อย่างไรนะท่านอาจารย์” พระเจ้าจุลนีทรงซักรายละเอียด
 
    พราหมณ์เกวัฏจึงกราบทูลว่า “ก่อนนั้นพระองค์ทรงผ่อนปรนการสัญจรไปมา แต่ไม่ถึงกับปิดประตูเล็กประตูน้อยทั้งหมดเสียทีเดียว ยังคงปล่อยให้ประชาชนเข้าออกได้ เพราะหวังจะประจันหน้ากันตรงบริเวณประตูใหญ่ ป้อม และกำแพงเท่านั้น แต่คราวนี้ เราคงไม่มีทางเลือก แม้ว่าจะละเมิดธรรมเนียมแต่โบราณก็ต้องยอม นั่นคือจะต้องยึดประตูเมืองทุกด้านไว้ ไม่ว่าประตูน้อยหรือประตูใหญ่...
 
    ครั้นยึดทางสัญจรทุกเส้นทางได้แล้ว ก็ปิดกั้นไม่ให้คนในเมืองออกมาภายนอกได้เลย เมื่อบ้านเมืองถูกปิดล้อมหนาแน่นเช่นนี้ ในไม่ช้าคนข้างนอกก็จะพลอยหมดกำลังใจ ส่วนคนข้างในก็จะพากันลำบาก กระเหี้ยนกระหือรือที่จะออกมาให้ได้ ในที่สุดก็จะพากันเปิดประตูเมืองออกมาเอง ถึงตอนนั้น จะมีใครหนีรอดเงื้อมมือของพระองค์ไปได้ ต่างก็จะเป็นเหมือนลูกไก่ในกำมือของพระองค์ หากบีบเสียก็จะแหลกคามือ พระพุทธเจ้าข้า
 
    พระเจ้าจุลนีก็ทรงเห็นชอบด้วย ตรัสว่า “ท่านอาจารย์ อุบายนี้คมคายทีเดียว ตกลงเป็นอันปฏิบัติตามคำของท่านอาจารย์” ตรัสดังนี้แล้ว ก็รับสั่งให้จัดทหารให้เข้าไปคุมประตูทุกด้าน ห้ามมิให้คนข้างในออกมาข้างนอกเด็ดขาด
 
    ไม่ว่าพราหมณ์เกวัฏจะปรับเปลี่ยนอุบายในการดำเนินสงครามไปเช่นไร แต่แผนการเหล่านั้น มีหรือที่ท่านเสนาบดีผู้ชาญฉลาดอย่างมโหสถบัณฑิตจะไม่รู้ไม่ทราบ เพราะเพียงไม่กี่ชั่วยาม หลังจากที่พระเจ้าจุลนีทรงปรึกษากับพราหมณ์เกวัฏ มโหสถก็ได้รับทราบข่าวคราวจากผู้สืบราชการลับเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกับทุกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าอุบายของพราหมณ์เกวัฏในครั้งนี้ จะยิ่งเฉียบคมกว่าอุบายครั้งก่อนหลายเท่านัก
 
    ดังนั้น มโหสถจึงต้องใช้เวลานานในการไตร่ตรองหาหนทางแก้ไขสถานการณ์ด้วยความรอบคอบ มโหสถคิดว่า “ขืนปล่อยให้กองทัพฝ่ายปัญจาละตั้งล้อมประชิดอยู่รอบด้าน โดยไม่เปิดหนทางใดๆให้เข้าออก ชาวมิถิลาก็จะเป็นเหมือนไก่ที่ถูกขังไว้ในกรงเพื่อรอคอยวันตาย นานวันเข้าก็จะเกิดความอึดอัด กระสับกระส่ายดิ้นรนเสาะหาทางออก ความปั่นป่วนและระส่ำระสายก็จะเกิดขึ้น กลายเป็นความแตกแยก ไร้ความเป็นปึกแผ่นเดียวกัน ในที่สุดภัยพิบัติอันใหญ่หลวงก็จักปรากฏโดยมิต้องสงสัย”
 
    ครั้นตระหนักถึงภัยที่จะเกิดแก่บ้านเมืองเช่นนั้น มโหสถจึงคิดหาอุบายพลิกสถานการณ์ร้าย โดยวางแผนที่จะขับไล่กองทัพข้าศึกให้แตกพ่ายไปโดยเร็ว โดยการหาบุคคลผู้หนึ่งปลอมตัวเป็นไส้ศึก ที่มีความความสามารถทำหน้าที่แทนเราได้ บุคคลผู้นั้นจะต้องวางตัวให้แนบเนียนโดยที่ฝ่ายข้าศึกไม่รู้ตัว และที่สำคัญก็คือต้องมีความฉลาดในการคิดการอ่านที่จะเป็นประโยชน์ต่อมิถิลานคร ซึ่งเป็นบุคคลที่หาได้ไม่ง่ายนัก
 
    ความคิดใคร่ครวญของมโหสถบัณฑิต มิได้เป็นความคิดที่ไร้ผล ในที่สุดก็พบตัวบุคคลที่เหมาะสม เป็นพราหมณ์ผู้มีอายุมากคนหนึ่งที่อยู่ในกรุงมิถิลานครนี้เอง เรียกกันว่า “อนุเกวัฏ” เป็นผู้ฉลาดหลักแหลมมีความคิดอ่านว่องไว ใจคอหนักแน่นมั่งคง มโหสถจึงได้เรียกพราหมณ์อนุเกวัฏนั้นมาหาตนที่เรือน ได้ต้อนรับปฏิสันถารตามสมควรแล้วพาเข้าไปสู่ห้องรโหฐาน เพื่อคุยกันเฉพาะตัวต่อตัว
 
    ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว มโหสถจึงได้เล่าสถานการณ์ของบ้านเมือง ที่ถูกกองทัพของพระเจ้าจุลนีล้อมปิดตายไว้ทุกด้าน ให้พราหมณ์อนุเกวัฏทราบโดยละเอียด อีกทั้งยังได้ขอร้องให้พราหมณ์อนุเกวัฏว่า “ท่านอาจารย์ ท่านคงทราบดีว่า บัดนี้มิถิลานครได้ถูกข้าศึกล้อมไว้แล้วทุกด้าน เพราะความต้องการเป็นใหญ่ของพระเจ้าจุลนี พระองค์มีพระราชประสงค์จะเป็นใหญ่ในชมพูทวีป ดังนั้นเพื่อเห็นแก่ชาวเมืองทั้งหมด ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอร้องให้ท่านอาจารย์ช่วยทำการบางอย่างเพื่อชาวมิถิลา หวังว่าท่านอาจารย์คงไม่ขัดข้อง”
 
    พราหมณ์อนุเกวัฏจะรับอาสาหรือไม่ เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะว่างานนี้เป็นการชี้ชะตาชีวิตของมิถิลานครให้อยู่รอดต่อไปได้ แต่ถ้าถูกจับได้ว่าปลอมเป็นไส้ศึก นั่นก็หมายถึงชีวิตของพราหมณ์อนุเกวัฏจะต้องดับสูญทันที เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 132ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 132

ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 133ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 133

ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 134ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 134



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก