ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 141


[ 11 ธ.ค. 2551 ] - [ 18262 ] LINE it!

ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 141
 
 
    จากตอนที่แล้ว พระเจ้าจุลนีทรงมีอาการรันทดพระหฤทัยถึงเรื่องที่จะต้องหนีจากกองทัพอย่างยิ่ง พรามหณ์อนุเกวัฏได้ทูลปลอบจนพระเจ้าจุลนีคลายกังวล พร้อมตกลงว่าคืนนี้จะหนีไปด้วยกัน
 
    ครั้นแล้ว พราหมณ์อนุเกวัฏจึงรีบแจ้งข่าวนั้นให้ผู้สืบราชการลับของมิถิลานครทราบโดยทั่วกันว่า “ในเวลาเที่ยงคืนนี้ พระเจ้าจุลนีจะเสด็จหนีกลับปัญจาลนคร ท่านทั้งหลายจงคอยฟังสัญญาณจากข้าพเจ้าเถิด แล้วพวกเราทั้งหลายจะได้ช่วยกันขับไล่กองทัพฝ่ายปัญจาละ ให้แตกกระเจิงจนหมดสิ้นไปจากมิถิลานคร”
 
    จากนั้น พราหมณ์อนุเกวัฏก็มุ่งตรงไปยังโรงม้าต้น จัดแจงผูกม้าพระที่นั่งอย่างมั่งคงแน่นหนา แต่ทว่าเป็นการผูกอย่างมีเงื่อนงำ คือ ถ้ารั้งม้าให้ช้า ม้าก็สำคัญว่าจะให้วิ่งเร็ว และถ้ายิ่งรั้งให้หยุด ม้าก็จะยิ่งวิ่งเร็วขึ้นเพียงนั้น ครั้นผูกม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รอให้พวกทหารพากันหลับสนิท แล้วจึงเข้าไปทูลเชิญพระเจ้าจุลนีขึ้นทรงม้าพระที่นั่งกลับสู่ปัญจาลนคร
 
    พระเจ้าจุลนีจึงรีบเสด็จขึ้นม้าทรงทันที แล้วจึงเสด็จออกจากที่ประทับ โดยมีพราหมณ์อนุเกวัฏตามเสด็จเพื่อถวายความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด แต่ครั้นพระเจ้าจุลนีทรงควบม้าพ้นจากฐานทัพไปได้สักหน่อย พราหมณ์อนุเกวัฏก็รีบชักม้าหวนกลับมาทางเดิม ปล่อยให้พระเจ้าจุลนีทรงควบม้าพระที่นั่งไปโดยลำพังพระองค์เดียว
 
    เมื่อเสด็จพ้นฐานทัพไปไกลแล้ว จึงทรงเหลียวกลับมาดู แต่กลับไม่ทรงเห็นพราหมณ์อนุเกวัฏตามมา เมื่อทรงรู้ว่าพระองค์เสด็จมาเพียงลำพังพระองค์เดียว ก็ทรงพรั่นพรึงพระหฤทัย ทรงชักม้าพระที่นั่งเพื่อจะหยุดรอดูพราหมณ์อนุเกวัฏ แต่ปรากฏว่าม้าพระที่นั่งเกิดบังคับไม่อยู่ ยิ่งรั้งยิ่งดึงก็ยิ่งห้อตะบึงไปท่าเดียว พระองค์จึงต้องทรงปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม
 
    พราหมณ์อนุเกวัฏกลับเข้าไปในฐานทัพแล้ว ก็ตะโกนก้องร้องประกาศแก่พวกพ้องว่า “พระเจ้าจุลนีหนีไปแล้ว...พวกเรารีบหนีกันเร็ว ขืนอยู่จักต้องตายไปตามๆกัน ไปเถิดพวกเรารีบหนีเร็วเข้า” บรรดาผู้สืบราชการลับ เมื่อได้ยินเสียงตะโกนร้อง ก็พากันตะโกนบอกต่อๆกันไป จนเสียงดังระเบ็งเซ็งแซ่ไปทั้งกองทัพปัญจาละ
 
    ฝ่ายพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระองค์ ทรงสดับเสียงนั้น ก็ทรงสำคัญว่ามโหสถบัณฑิตเปิดประตูพระนครยกพลจะมาจับพระเจ้าจุลนี ท้าวเธอจึงต้องรีบเสด็จหนีไปก่อน ครั้นแล้วจึงทรงดำริว่า “หากมโหสถจับพวกเราได้ ที่ไหนจะไว้ชีวิต ขืนอยู่ในที่นี้ต่อไป ชีวิตของพวกเราคงจะไม่รอดแน่” พระราชาเหล่านั้นเมื่อเสด็จออกจากห้องบรรทมได้ ก็รีบฉวยม้าพระที่นั่งควบขับตามไปโดยเร็ว โดยมิได้เก็บสิ่งของอะไรติดตัวมาเลย
 
    ขณะนั้น ก็มีเสียงตะโกนป่าวร้องขึ้นอีกว่า “พระราชาทั้งหมดเสด็จหนีไปกันหมดแล้ว พวกเรารีบหนีเถิด ขืนอยู่จะต้องตายไปตามกัน ไปเถิดพวกเรา รีบหนีให้เร็วที่สุดเถิด”
 
    เหล่าแม่ทัพนายกองได้ฟังดังนั้น ก็คิดว่ามโหสถยกทัพมาจู่โจมจับพระเจ้าจุลนี และพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระองค์ไปแล้ว ต่างก็สะดุ้งกลัว ยังไม่ทันจะได้หยิบฉวยอะไร ก็พากันหนีเตลิดเปิดเปิงไป ตามติดมาด้วยทหารทั้ง ๑๘กองทัพ เมื่อขาดผู้นำแล้ว อีกทั้งได้ยินเสียงตะโกนป่าวร้องดังสนั่น ต่างก็พากันวิ่งหนีเอาตัวรอด ดูชุลมุนวุ่นวายไปหมด
 
    ขณะเดียวกัน ทหารฝ่ายมิถิลาซึ่งเฝ้าอยู่บนกำแพงและหอรบ ได้ยินเสียงสนั่นหวั่นไหวปานแผ่นดินจะถล่มทลาย ก็รู้ว่าบัดนี้อุบายของมโหสถบัณฑิตสัมฤทธิ์ผลแล้ว จึงต่างช่วยโห่ร้องสำทับให้ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นอีกทุกๆด้าน ประหนึ่งว่าจะมีกองทัพมาโจมตี ทำให้ทหารฝ่ายปัญจาลนครยิ่งตื่นตระหนกตกใจ จนลืมความรู้สึกนึกคิดเรื่องอื่นๆไปชั่วขณะ คิดเพียงแต่ว่าจะต้องหนีไปให้เร็วที่สุด จึงจำต้องยอมสละละทิ้งเครื่องใช้ไม้สอย ยวดยานพาหนะ แม้กระทั่งผ้าคาดพุงประจำตัวก็ยังมิอาจหยิบฉวยไปได้ทัน
 
    และแล้ว แสงอรุโณทัยในรุ่งเช้าวันใหม่ของมิถิลานคร ซึ่งทอแสงหม่นหมองมานาน เพราะถูกเมฆหมอกแห่งสงครามปกคลุม บัดนี้ก็พลันแจ่มกระจ่าง เป็นรุ่งอรุณที่งดงามสดใสยิ่งนัก ประชาชนยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบานกันถ้วนหน้า ต่างต้อนรับอรุณด้วยจิตใจอันเป็นอิสระเบ่งบานเต็มที่ พากันร่าเริงพร้อมกับประกาศความเป็นเอกราชและอธิปไตยของมิถิลานครอย่างทั่วหน้า ทหารฝ่ายมิถิลาได้เปิดประตูเมืองออกเป็นครั้งแรก หลังจากที่ต้องปิดตรึงมาหลายเดือน
 
    ครั้นแล้ว ก็พากันออกสำรวจตรวจตราดูสิ่งของต่างๆ เห็นทรัพย์สินของกองทัพฝ่ายปัญจาลนครมูลค่ามหาศาล กองพะเนินรอบพระนคร พร้อมด้วยรัตนะสูงค่านานาชนิด จะนับจะประมาณมิได้ จึงได้แจ้งให้มโหสถทราบ มโหสถจึงมีคำสั่งว่า “ให้รวบรวมเครื่องราชูปโภคทุกอย่างไปทูลเกล้าถวายแด่พระเจ้าวิเทหราช ส่วนเครื่องอุปโภคของราชาอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่ให้รวบรวมมาไว้ที่เรา และที่เหลือนอกนั้นก็ให้แจกจ่ายแบ่งปันแก่ชาวมิถิลาอย่างทั่วถึง
 
    สิ่งของต่างๆที่กองทัพปัญจาละทิ้งไว้นั้น ต้องใช้เวลาถึง 4เดือนจึงจะขนหมด จึงทำให้ชาวมิถิลานครซึ่งมีความมั่งคั่งอยู่แล้ว ก็ยิ่งรุ่งเรืองมั่งคั่งขึ้นไปอีก ส่วนพราหมณ์อนุเกวัฏนั้น ก็ได้รับบำเหน็จจากมโหสถบัณฑิตอย่างมโหฬาร ทั้งลาภทั้งยศปรากฏเกียรติไปทั่วพระนคร
 
    ตั้งแต่นั้นมา มิถิลานครก็เป็นดินแดนแห่งรัตนะนานัปการ ประชาชนต่างก็ปราศจากความทุกข์ยากลำเค็ญ มีแต่ความร่มรื่นร่มเย็นเป็นสุขสถาพร การที่มิถิลานครสามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือกองทัพอันมหึมาของพระเจ้าจุลนีได้นั้น ก็เพราะอาศัยดวงปัญญาที่เฉียบแหลมของมโหสถบัณฑิต ที่ได้สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ได้แทงตลอดในการปกป้องรักษาบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข โดยได้เตรียมรับสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยความไม่ประมาท พร้อมกับมีจิตใจที่หนักแน่นมั่นคง ในการทำหน้าที่เป็นผู้นำได้เป็นอย่างดีเยี่ยม จึงทำให้มิถิลานครแคล้วคลาดจากภยันตรายในครั้งนี้ได้อย่างสวยสดงดงาม 
 
    ส่วนว่าเหตุการณ์ต่อไปในภายภาคหน้า ที่กำลังรอให้มโหสถบัณฑิตแก้ไขด้วยสติปัญญาอยู่นั้น จะยากเย็นแสนเข็ญอย่างไร เพราะว่าพราหมณ์เกวัฏนั้นยังเจ็บแค้นมโหสถอยู่ จนกลายเป็นความอาฆาตที่รุมเร้าอยู่ในจิตใจตลอดไปว่า แค้นนี้ต้องชำระ ส่วนว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 142ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 142

ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 143ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 143

ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 144ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 144



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก