ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 1


[ 24 ม.ค. 2550 ] - [ 18274 ] LINE it!

  
ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  สุวรรณสาม   ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี  ตอนที่ 1
 

        เราได้ศึกษาประวัติการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์มา 2 พระชาติแล้ว คือ พระชาติที่เกิดเป็นพระเตมีย์  ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี และพระมหาชนกผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี วันนี้เราจะได้ศึกษาในพระชาติที่เกิดเป็นพระสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ในระดับที่เป็นปรมัตถบารมีเช่นเดียวกัน

        จากนี้ไป เราจะได้ศึกษาประวัติการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์อีกพระชาติหนึ่ง ซึ่งเป็นชาติที่สำคัญ ที่พระองค์ทรงสร้างบารมีชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แม้จะถูกประทุษร้ายจนปางตาย แต่ดวงใจนั้นมิได้ถอยห่างจากเมตตาเลย

        การเพิ่มพูนเมตตาของพระองค์นั้น อุปมาเหมือนกับน้ำย่อมแผ่ขยายความเย็นไปสู่คนดีและคนเลวได้เสมอกัน และยังสามารถชำระล้างมลทินให้แก่คนได้ทุกชั้นวรรณะเสมอกัน ฉันใด

        พระโพธิสัตว์ทั้งปวงก็ย่อมเพิ่มพูนเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในชนทั้งที่เกื้อกูลและไม่เกื้อกูลแก่ตน โดยไม่เลือกชนชั้น วรรณะ เพศวัย หรือเผ่าพันธุ์ใดๆ ด้วยคิดว่าสัตว์โลกก็คือหมู่ญาติ มีความปรารถนาจะพาข้ามวัฏสงสารไปให้หมด ฉันนั้น

        แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น จะขอเล่าเรื่องของพระภิกษุรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล ซึ่งเป็นพระภิกษุที่เลี้ยงบิดามารดาประดุจสุวรรณสามโพธิสัตว์ในกาลก่อน ซึ่งเป็นเหตุสำคัญทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าเรื่องราวของสุวรรณสามชาดก ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้

        ณ กรุงสาวัตถี ราชธานีอันยิ่งใหญ่แห่งแคว้นโกศล ได้มีตระกูลเศรษฐีตระกูลหนึ่งมีทรัพย์ 18 โกฏิ  ท่านเศรษฐีและภรรยา มีบุตรชายผู้สืบสกุลเพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้น เขาจึงเป็นที่รักของบิดามารดายิ่งนัก มีเหล่าข้าทาสบริวารทั้งหญิงชายคอยบำรุงบำเรอ โดยไม่ได้รับความยากลำบากอะไรเลย 
   
        เขามีชีวิตสะดวกสบายอยู่บนปราสาท ไม่ต้องทำงานอะไรด้วยมือของตนเลย วันหนึ่งเขาได้เกิดความคิดว่า “มหาชนเดินผ่านถนนหน้าบ้านเราไปสู่อารามเพื่อฟังธรรมทุกวัน เราแม้จะอยู่ใกล้เพียงแค่นี้เอง แต่ก็ไม่เคยได้ไปเลย  วันนี้เราจะไปวัดไปฟังธรรมเหมือนพวกเขาบ้าง”

        ครั้นแล้ว ชายหนุ่มจึงสั่งให้บ่าวไพร่จัดเตรียมไทยธรรม มีเภสัช น้ำปานะและดอกไม้ของหอม แล้วให้ถือสิ่งของทั้งหมดติดตามตนไปสู่วัดพระเชตวัน

        บุตรเศรษฐีได้เคยเห็นพระบรมศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี  ก็มีความเลื่อมใสเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อได้มาฟังธรรมก็ยิ่งเกิดความเลื่อมใส ยิ่งฟังก็ยิ่งมองเห็นความเป็นจริงของชีวิต จึงเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะออกบวชเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ตามอย่างพระบรมศาสดา

        ครั้นเมื่อการแสดงธรรมเสร็จสิ้นลง มหาชนต่างก็แยกย้ายกันกลับสู่เรือนของตน แต่ชายหนุ่มกลับนั่งรอจนกระทั่งผู้คนเริ่มบางตา จึงค่อยๆ คลานเข้าไปถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลขอบวชต่อเบื้องพระพักตร์โดยไม่รีรอ

        พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาดูแล้ว ทรงเห็นว่าชายผู้นี้ยังมีห่วงกังวลอยู่ เพราะเขายังมิได้ขออนุญาตจากบิดามารดาแล้ว หากทรงอนุญาตให้เขาบวชโดยพละการเช่นนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่สมควร จึงได้ตรัสกับเขาว่า “อุบาสก พระตถาคตทั้งหลาย จะไม่บรรพชาให้กับกุลบุตรที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากบิดามารดา”

        ฝ่ายชายหนุ่มฟังพุทธดำรัสนั้นแล้ว ก็ถวายบังคมพระบรมศาสดา แล้วกลับสู่เคหสถานของตน  เมื่อกลับถึงเรือน ชายหนุ่มรีบเข้าไปหาบิดามารดา ไหว้ท่านทั้งสองด้วยความเคารพ จากนั้นจึงกล่าวขออนุญาตจากท่านทั้งสองเพื่อออกบวช

        ท่านเศรษฐีและภรรยา เมื่อได้ฟังถ้อยคำขออนุญาตจากบุตรแล้ว ก็ตกใจปานประหนึ่งหัวใจจะแตกสลาย เพราะตนมีบุตรเพียงคนเดียวเท่านั้น เป็นความหวังที่จะให้เขาดำรงวงสกุลสืบต่อไป จึงได้กล่าวทัดทานไปว่า “ เจ้าเป็นลูกรักคนเดียวของพ่อกับแม่ พ่อแม่หวังให้เจ้าสืบต่อวงศ์ตระกูล เจ้าจะทิ้งพ่อกับแม่ออกบวชได้อย่างไร ”

        ฝ่ายมารดานั้นก็กล่าวขึ้นด้วยความเป็นห่วงบุตรว่า “ลูกแม่ เจ้าน่ะเป็นเหมือนดวงใจของแม่ ..พ่อกับแม่เว้นเจ้าเสียแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร พ่อแม่ก็แก่ลงทุกวันแล้ว จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ เจ้ายังคิดจะทิ้งพ่อกับแม่ไปอีกหรือ  การบวชเป็นพระนั้นน่ะลำบาก  แต่เจ้าได้รับความสะดวกสบายมาตลอด แล้วเจ้าจะอดทนได้อย่างไร” 
 
        ชายหนุ่มได้ฟังคำของบิดามารดาแล้ว ก็จนต่อถ้อยคำของท่านทั้งสอง จึงได้แต่นั่งก้มหน้านิ่งซบเซาอยู่ แม้กระนั้นความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะออกบวชก็ยังคงคุกรุ่นอยู่ภายในใจ จึงได้แต่คิดว่า “หากเราไม่ได้ออกบวชล่ะก็ เราก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป” 

        เมื่อไม่เห็นหนทางใดที่จะทำให้บิดามารดาอนุญาตได้ เขาจึงยอมอดอาหาร และขังตนเองอยู่แต่ภายในห้องนอน ส่วนท่านเศรษฐีและภรรยานั้นทั้งกลัดกลุ้มและเป็นกังวล ได้เข้ามาช่วยกันอ้อนวอนลูกชาย ว่าอย่าทำร้ายตนเองเช่นนี้เลย 

        แต่ด้วยความอยากจะบวช เขาจึงสู้ทนอดอาหารวันแล้ววันเล่า จนร่างกายผ่ายผอม กระทั่งล่วงเข้าสู่วันที่ 7 มารดาผู้ซึ่งไม่อาจทนดูบุตรต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปได้ จึงได้ปรึกษากับสามีว่า “พี่ หากเราไม่ยอมให้ลูกบวช ลูกของเราก็คงจะอดอาหารจนตายเป็นแน่   หากเรายอมอนุญาตให้เขาบวช อย่างน้อยเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ให้เราได้เห็นหน้า...และอีกอย่างหนึ่ง การบวชนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก หากเขาทนความลำบากไม่ได้ เขาก็คงจะลาสิกขาออกมาเอง ..พี่ ..เรายอมให้ลูกออกบวชเถอะนะ” ท่านเศรษฐีฟังเหตุผลของภรรยาแล้วก็เห็นว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด จึงตกลงอนุญาตให้บุตรชายคนเดียวของตนได้ออกบวชในที่สุด

        ชายหนุ่มเมื่อรู้ว่าตนจะได้บวชสมใจก็ดีใจสุดประมาณ จากนั้นก็ได้พักรักษาตัว จนสดชื่นกระปรี้กระเปร่าดีแล้ว เขาจึงกราบลาท่านทั้งสองแล้วเดินทางไปสู่วัดพระเชตวัน เพื่อทูลขอบรรพชากับพระบรมศาสดา  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาต แล้วตรัสสั่งให้ภิกษุรูปหนึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์บวชสามเณรให้แก่ชายหนุ่ม 

        จำเดิมแต่วันที่บุตรเศรษฐีก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์ บิดามารดาและหมู่ญาติของท่าน ต่างก็ไปมาหาสู่ แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนท่านอยู่เสมอ ลาภสักการะได้บังเกิดขึ้นแก่ท่านมากมาย

        แม้กระนั้นท่านก็มิได้หลงใหลใยดีในลาภสักการะเหล่านั้น ได้ตั้งใจบำเพ็ญสมณะธรรม แม้จะเคยเป็นบุตรเศรษฐีมาก่อน แต่สามเณรก็อดทนต่อคำพร่ำสอนของพระอุปัชฌาย์ ดำรงอยู่ในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด จนกระทั่งพระอุปัชฌาย์เห็นสมควร จึงอุปสมบทยกท่านขึ้นเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา 

        นับแต่นั้นมา ท่านก็ยิ่งตั้งใจศึกษาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ยิ่งๆขึ้นไป จนกระทั่งกาลผ่านไปได้ 5 พรรษา ท่านก็ยังไม่อาจบรรลุธรรมใดๆได้

        วันหนึ่ง ท่านได้รำพึงกับตนเองว่า “หากเรามัวแต่เพลิดเพลินอยู่ท่ามกลางหมู่ญาติอย่างนี้ เราคงไม่อาจยังมรรคผลนิพพานให้เกิดขึ้นได้เป็นแน่ ก็เราตั้งใจบวชเข้ามาในพระธรรมวินัยนี้ ก็เพื่อหวังทำที่สุดแห่งกองทุกข์ หากยังมัวประมาทอยู่ แล้วเมื่อไหร่ถึงจะได้เห็นธรรมสักที” 

        คิดดังนี้แล้ว ก็ตัดสินใจที่จะหลีกออกจากหมู่คณะ เพื่อปลีกวิเวกบำเพ็ญสมณะธรรมแต่เพียงผู้เดียว จึงเข้าไปขอเรียนกรรมฐานจากพระอุปัชฌาย์ แล้วเดินทางออกจากวิหารเชตวันมุ่งสู่เขตชนบทเพื่อแสวงหาที่ปฏิบัติธรรม   

        เมื่อไปถึงราวป่าแห่งหนึ่งไม่ห่างจากหมู่บ้านนัก ท่านจึงพักอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนั้น แล้วมุ่งบำเพ็ญสมณะธรรมเรื่อยมา จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปถึง 12 ปี ก็ยังไม่ได้บรรลุคุณวิเศษใดๆ เลย

        กระทั่งวันหนึ่ง ได้มีภิกษุอาคันตุกะรูปหนึ่งเดินทางมาจากวัดพระเชตวัน ได้บอกให้ทราบถึงความเป็นอยู่ของบิดามารดาของท่านว่า “ท่านทั้งสอง บัดนี้ยากจนลง แม้แต่ปราสาทก็ถูกเขายึดไป ไม่มีใครคอยดูแล  ตอนนี้กลายเป็นคนกำพร้าน่าสงสาร ต้องอาศัยชายคาบ้านคนอื่นเขาอยู่ ถือชามกระเบื้องเที่ยวขอทานเขากินไปวันๆ” 
 
        พระภิกษุผู้เป็นบุตรเศรษฐีได้ฟังดังนั้นก็สลดใจ นึกสงสารบิดามารดาอย่างที่สุด แต่ท่านจะทำอย่างไรต่อไปนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
 
โดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 2ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 2

ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 3ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 3

ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 4ทศชาติชาดก เรื่องสุวรรณสาม ผู้ยิ่งด้วยเมตตาบารมี ตอนที่ 4



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก