จอมเทพอสูร


[ 12 พ.ค. 2555 ] - [ 18286 ] LINE it!

จอมเทพอสูร
 

 
     เวลาธรรมกาย เป็นเวลาที่ทรงคุณค่ายิ่ง ที่เราจะมาร่วมกันหยุดนิ่ง หยุดใจไว้ที่แห่งเดียวกัน คือ ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แม้จะอยู่คนละสถานที่ แต่เราก็สามารถรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อให้กระแสแห่งความสุขและความบริสุทธิ์ของธรรมกายแผ่ขยายไปทั่วโลก การสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในโลกนั้น ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เพราะธรรมกายมีอยู่แล้วในตัวของมนุษย์ทุกๆ คนในโลก ไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์ หากทำใจหยุดนิ่งย่อมเข้าถึงได้ทุกคน
 
     มีถ้อยคำของเหล่าฤาษีที่กล่าวถึงจอมอสูรเอาไว้ใน สมุททกสูตร ว่า
 
     “ดูก่อนอสูรผู้ใจบาป เราทั้งปวงนี้มีความประสงค์จะขออภัย ไยท่านกล้ามาให้ซึ่งภัยเสียเล่า เราใคร่จะขอรับแต่อภัยอย่างเดียว เมื่อท่านมาให้ภัยกระนี้ เรามิรับดอก ภัยนั้นจงตกอยู่กับตัวท่านเองเถิด สัมพรอสูรเอ๋ย ธรรมดาว่า พืชทั้งปวงที่บุคคลหว่านลงไป คราวเมื่อจะได้ผล ก็ให้ผลตามเมล็ดพันธุ์พืชที่หว่านลงฉันใด บุคคลทำการกุศล ก็จักพลันได้ซึ่งผลแห่งกุศลนั้นเป็นเที่ยงแท้ แต่บุคคลบาปหยาบช้า ก็อย่าหมายเลยว่าจะไม่ได้รับผลแห่งความชั่ว ตัวท่านให้ซึ่งภัยแก่อาตมภาพทั้งปวง ก็จักได้รับภัยในไม่ช้านี้ ฉันนั้น”
 
     ครั้งนี้หลวงพ่อมีเรื่องการกำเนิดอสูรพิภพมาเล่าสู่พวกเราให้ได้ศึกษากัน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่กำเนิดโลกใหม่ๆ เริ่มตั้งแต่โลกเย็นลง อาภัสราพรหมก็ลงมาเกิดบนโลกมนุษย์เพื่อสร้างบารมี มีการปกครองเป็นเขตแดน มีหัวหน้าปกครอง มีสวรรค์แต่ละชั้นเกิดขึ้นมาตามลำดับ มีภพภูมิต่างๆ ตั้งแต่นิรยภูมิ ภูมิของพวกเปรต อสุรกาย และติรัจฉานภูมิ เกิดขึ้นมาตามแรงบุญและบาปที่มนุษย์ได้ทำเอาไว้
 
     * อสูรพิภพเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และถ้อยคำที่หลวงพ่อยกขึ้นมากล่าวไว้ในตอนต้นนั้น มีความเกี่ยวข้องกับเหล่าอสูรอย่างไรบ้าง เรามาศึกษากันต่อไป  เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยแรกๆ ที่มฆมาณพ และสหาย ๓๒ คน ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พวกเทพบุตรซึ่งได้ไปเกิดอยู่ก่อน เห็นเทพบุตรใหม่มาอุบัติต่างพากันต้อนรับ ด้วยการนำน้ำคันธบานที่เป็นทิพย์มาเลี้ยง ฝ่ายมฆเทพบุตรไม่ปรารถนาจะดื่มนํ้าเมา จึงให้สัญญาณแก่เทพบริษัทผู้เป็นบริวารของตน มิให้ดื่มน้ำคันธบานที่เทพบุตรผู้อยู่ก่อนนำมาเลี้ยงต้อนรับ น้ำคันธบานในเมืองสวรรค์นั้น มีรสหวานอร่อยมาก แต่ทว่าพอดื่มเข้าไปแล้ว จะปรากฏมีอาการมึนเมาประมาทขาดสติ
 
     เพราะฉะนั้น เมื่อเทพบุตรเจ้าถิ่นพร้อมกับบริวารของตน ตกแต่งน้ำคันธบานให้อาคันตุกะเทพบุตรแล้ว พวกตนก็ดื่มกินเสียเองจนเมาขาดสติ มฆเทพบุตรจึงให้บริวารจับเทพบุตรผู้อยู่ก่อนเหล่านั้น โยนลงจากสวรรค์ เมื่อตกมาถึงท่ามกลางสิเนรุบรรพตก็ได้สติฟื้นคืนมา จอมเทพได้สั่งสอนบริวารว่า “ชาวเราทั้งหลาย แต่นี้ต่อไปพวกเราอย่าได้ดื่มนํ้าคันธบานที่มีฤทธิ์ร้ายประดุจสุราเลย เพราะการดื่มนํ้าคันธบานนี่เอง พวกเราจึงต้องได้รับความอัปยศในครั้งนี้” จากนั้นต่างพร้อมใจงดเว้นการดื่มนํ้าคันธบานตั้งแต่บัดนั้น
 
     อย่างไรก็ตาม ด้วยเดชะแห่งกุศลกรรมที่เทพบุตรเก่าเหล่านั้น ได้สั่งสมมาแต่ปางก่อน จึงบังเกิดเป็นเทพนครที่สวยสดงดงาม กว้างใหญ่รุ่งเรืองคล้ายกับดาวดึงส์พิภพทุกประการ เพียงแต่ว่าความวิจิตรพิสดารน้อยกว่าเล็กน้อย นครนี้บังเกิดขึ้นที่เชิงสิเนรุบรรพต โดยจะมีนํ้าล้อมรอบกำแพงเมืองอยู่เสมอมิได้ขาด และจะมีต้นปาตลี คือต้นแคฝอย ประดับประจำพระนครนี้อย่างงดงาม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาดินแดนแห่งนี้จึงได้ชื่ออสูรพิภพ กว้างขวางถึง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ตั้งอยู่ใต้เขาพระสุเมร
 
     สำหรับความเป็นอยู่ในอสูรพิภพนี้ พวกอสูรมีความเป็นอยู่เช่นเดียวกับทวยเทพทั้งหลาย คือ เสวยสุขอันเป็นทิพย์ทุกอย่าง มีแต่ความสดชื่นรื่นเริงใจ มิต้องลำบากยากเข็ญ เหมือนพวกอสุรกายหรือยักษ์ทั่วๆ ไป เป็นเพราะอำนาจกุศลกรรมที่เหล่าอสูรได้ทำไว้แต่ปางก่อน
 
     ในอสูรพิภพมีการแบ่งเขตปกครองเป็นเขตเหมือนชาวสวรรค์ ได้แก่ ทางด้านทิศตะวันออก มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ท่านท้าวสัมพรอสูร  ทรงเป็นองค์อธิบดีปกครอง แล้วทรงแต่งตั้งให้ไพจิตตาสูรเป็นองค์อุปราช ทางด้านทิศใต้ ท้าวอสัพพราสูรเป็นองค์อธิบดี มีท้าวสุลิอสูรเป็นองค์อุปราช  ด้านทิศตะวันตก มีท้าวเวลาสูรเป็นองค์อธิบดี มีท้าวปริกาสูรเป็นองค์อุปราช  และด้านทิศเหนือ ท้าวพรหมทัตตาสูรเป็นองค์อธิบดี มีท้าวอสุรินทราหูเป็นองค์อุปราช
 
     ท้าวสัมพรอสูรทรงเป็นใหญ่ในอสูรพิภพ บริบูรณ์ด้วยอิสริยยศเช่นเดียวกับพระอินทร์บนดาวดึงส์พิภพทุกอย่าง เมื่อใดก็ตามที่พวกอสูรเห็นต้นแคฝอยออกดอกบานสะพรั่ง เหล่าอสูรก็จะหวนระลึกนึกถึงความหลัง เมื่อครั้งที่ยังอยู่บนเทวนครดาวดึงส์ ซึ่งมีต้นปาริฉัตรเป็นไม้ประจำเทพนคร และทุกครั้งที่ย้อนนึกถึงความหลัง เหล่าอสูรก็รู้สึกเศร้าระคนเคืองแค้นต่อเหล่าทวยเทพในดาวดึงส์พิภพ จึงพากันชักชวนไปทำสงครามกับพระอินทร์
 
     * สงครามระหว่างเทวดากับอสูรรบกันนั้น ปรากฏว่า ฝ่ายอสูรเป็นฝ่ายปราชัยมากกว่ามีชัย เมื่อท้าวสัมพรอสูรผู้เป็นใหญ่ หนีมาพบบรรณศาลาของโยคีฤๅษีสิทธาทั้งหลาย ก็เข้าใจเอาเองว่า องค์อินทร์คงมีฤๅษีเหล่านี้เป็นองคมนตรีที่ปรึกษา ทำให้ฝ่ายตนพ่ายแพ้ปราชัยอยู่เสมอ คิดเช่นนั้นแล้ว จอมอสูรก็สั่งการบริวารให้รื้อบรรณศาลาของฤๅษี เท่านั้นยังไม่พอ จอมอสูรยังให้บริวารทุบต่อยหม้อนํ้าและทำลายบริขารของฤๅษี
 
     ฤๅษีทั้งหลายได้เหาะไปปรับความเข้าใจกับจอมอสูรว่า “อาตมภาพทั้งปวง มิได้เกี่ยวข้องในการรบนี้ ขออย่าให้เราต้องลำบากเลย ขอบพิตรจงให้อภัยเสียเถิด” สัมพรอสูรได้ฟังแล้ว ก็ไม่พอใจ จึงกล่าวปรักปรำว่า “พวกท่านพอใจที่จะคบหากับพระอินทร์ซึ่งเป็นผู้ผิด แล้วกลับมาขออภัยต่อข้า  เราไม่ยอมให้อภัยพวกท่าน และยังคิดที่จะเบียดเบียนพวกท่าน ให้ได้รับความลำบากอีกด้วย”
 
     เหล่าฤๅษีเห็นว่าจอมอสูรยังมีความโกรธ ไม่ยอมสงบศึกอย่างสันติวิธี  จึงกล่าวตักเตือนว่า “ดูก่อนอสูรผู้ใจบาป เราทั้งปวงนี้มีความประสงค์จะขออภัย ไยท่านกลับให้ภัยแก่เราเสียเล่า เราใคร่จะขอรับแต่อภัยอย่างเดียว  เมื่อท่านมาให้ภัยอย่างนี้ เรามิรับดอก ภัยนั้นจงตกอยู่กับตัวท่านเองเถิด สัมพรอสูรเอ๋ย ธรรมดาว่า พืชทั้งปวงที่บุคคลหว่านลงไป คราวเมื่อจะได้ผล ก็ให้ผลไม่ผิดกับชนิดพืชเลย ฉันใดก็ดี บุคคลทำการกุศล ก็จักพลันได้ซึ่งผลแห่งกุศลนั้นอย่างแน่นอน แต่สำหรับบุคคลบาปหยาบช้า ก็อย่าหมายเลยว่าจะไม่ได้รับผลแห่งความชั่ว ตัวท่านให้ภัยแก่เหล่าอาตมภาพ ท่านก็จักได้รับภัยในไม่ช้านี้ ฉันนั้น”
 
     จากนั้นเหล่าฤๅษีต่างพากันเหาะกลับอาศรมตามเดิม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สัมพรอสูรก็ไม่เป็นอันจะกินจะนอนเลย มีแต่หวาดเสียวสะดุ้งจิตหวาดหวั่นอยู่เป็นนิตย์ เฝ้าแต่คิดกลัวภัยที่ดาบสกล่าวติเตียนเอาไว้ เมื่อจะเอนหลังลงสู่ที่นอนในยามราตรี ก็มีอันให้เห็นศัตรูมาแวดล้อมกลุ้มรุม และจะเอาหอกหลาวทิ่มแทง ทำให้ต้องหวาดผวาลุกขึ้นมาทันที
 
     ด้วยเหตุนี้ หมู่อสูรต่างพากันแตกตื่นเป็นห่วง และมาเยี่ยมเยียนไต่ถามถึงอาการมิได้ขาด เมื่อถูกถามเช่นนี้ สัมพรอสูรก็มิกล้าเล่าความจริง เกรงว่าจะได้รับความอับอาย จึงปกปิดไม่บอกความจริงใดๆ  ครั้นเวลานอนหลับ นิมิตร้ายนั้นก็มาปรากฏให้เห็นอีก ทำเอาจอมอสูรเป็นไข้ใจ กลายเป็นเทพอ่อนแอทั้งกายและใจ มีจิตหวาดหวั่นตกใจกลัวอยู่เป็นนิตย์ จึงได้รับขนานนามใหม่ว่า ท้าวเวปจิตติ หมายถึงจอมอสูรผู้มีจิตหวาดหวั่น  
 
     นี่ก็เป็นประวัติการอุบัติขึ้นของอสูรพิภพ เราจะเห็นว่าสิ่งที่เป็นความลี้ลับซับซ้อนเป็นของละเอียด หรือกึ่งหยาบกึ่งละเอียด ยังมีอยู่อีกมากมายที่รอคอยการพิสูจน์ การจะไปสำรวจภพภูมิที่พิสดารเหล่านี้ได้ โดยอาศัยยวดยานพาหนะใดๆ ในโลกที่มีอยู่ทั่วไปตามที่มนุษย์ผลิตขึ้นมานั้น ไม่มีทางทำได้แน่นอน ต้องอาศัยใจหยุดอย่างเดียวเท่านั้น ยิ่งถ้าหยุดนิ่งจนเข้าถึงพระธรรมกายภายใน ได้ศึกษาวิชชาธรรมกายเมื่อไร ภพภูมิเหล่านี้ก็ไม่ยากสำหรับเราที่จะไปพิสูจน์ เหมือนหลวงปู่วัดปากนํ้า ภาษีเจริญ และคุณยายอาจารย์ของพวกเรา เมื่อท่านเข้าถึงแล้วก็ได้ไปพิสูจน์ในเรื่องภพสามมาแล้ว ศึกษาจักรวาลวิทยาจนชำนาญทั้งโลกันต์ ภพสาม นิพพาน แล้วนำมาถ่ายทอดให้พวกเราได้ฟังกัน ดังนั้นให้พวกเราทุกคนหมั่นปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายกันให้ได้ทุกคน

 
พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี
 
นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
* มก. เล่ม ๑๙ หน้า ๑๖๓
 
* มก. เล่ม ๒๕ หน้า ๔๘๖ 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ท้าวสักกะจอมเทพท้าวสักกะจอมเทพ

ท้าวสักกะจอมเทพท้าวสักกะจอมเทพ

องค์อัมรินทราธิราชองค์อัมรินทราธิราช



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน