บุญเท่านั้นที่ปรารถนา


[ 31 ก.ค. 2555 ] - [ 18267 ] LINE it!

บุญเท่านั้นที่ปรารถนา
 
 
 
     เราทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ มีสิ่งที่จะต้องศึกษาควบคู่กันไปอยู่ ๒ ประการ คือ การศึกษาวิชาความรู้ในทางโลก และการศึกษาวิชชาในทางธรรม การศึกษาความรู้ทางโลก เพื่อให้เรารู้จักวิธีการแสวงหาปัจจัยสี่มาเลี้ยงตน ทำให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ส่วนการศึกษาความรู้ในทางธรรม มีเป้าหมายเพื่อฝึกฝนอบรมจิตใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ เพื่อจะได้เข้าถึงแหล่งแห่งความรู้ที่สมบูรณ์ เป็นความรู้เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เข้าถึงความสุขอันแท้จริงที่มีอยู่ภายใน
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน อิฏฐสูตร ความว่า
 
     “ชนผู้ปรารถนาอายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สวรรค์ ความเกิดในตระกูลสูงและความเพลิดเพลินใจ พึงขวนขวายในความไม่ประมาทให้ยิ่งขึ้นไป”
 
     บัณฑิตทั้งหลาย สรรเสริญความไม่ประมาทในการสั่งสมบุญ เพราะผู้ไม่ประมาทย่อมยึดเอาประโยชน์ทั้งสองไว้ได้ คือประโยชน์ในปัจจุบันนี้และประโยชน์ในสัมปรายภพ”
 
     พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย ได้ตั้งความปรารถนาเพื่อจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงพิจารณาด้วยสติปัญญาว่าควรสร้างบารมีอะไรเป็นอันดับแรก ต่างเห็นพ้องต้องกันหมดทุกพระองค์ ว่าต้องเริ่มต้นจากทานบารมี เพราะทานเป็นทางมาแห่งโภคทรัพย์ ซึ่งจะทำให้สร้างบารมีอื่นๆ เป็นไปอย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น
 
     * ในอดีตกาล ที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระราชาทรงพระนามว่า สาธินะ ปกครองแว่นแคว้นและประชาราษฎร์ในมิถิลานคร พระองค์เป็นผู้ยินดีในการบริจาคทาน และทรงพระราชทานโอวาทแก่ชาวแว่นแคว้น ให้หมั่นสั่งสมบุญด้วยการให้ทานและรักษาศีล มหาชนทั้งหลายตั้งอยู่ในโอวาท ต่างทำบุญให้ทานกันเป็นประจำ เมื่อหมดอายุขัยก็ได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดาอยู่ในสุคติโลกสวรรค์กันมากมาย
 
     เมื่อเหล่าเทพในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาประชุมกัน ณ สุธรรมาเทวสภา เทวดาเหล่านั้นต่างพรรณนาถึงคุณของพระเจ้าสาธินะ  เทวดาอื่นๆ ได้ยินเข้าก็มีจิตเลื่อมใสยินดีปรารถนาอยากจะเห็นพระราชา ท้าวสักกเทวราชจึงโปรดให้มาตลีเทพบุตรนำเวชยันต์ราชรถไปยังมนุษยโลก เพื่อทูลเชิญพระเจ้าสาธินะให้เสด็จไปดาวดึงส์พิภพ มหาชนได้เห็นมาตลีเทพบุตรขับราชรถมีรัศมีรุ่งเรืองดังดวงจันทร์ ต่างพากันเข้าใจว่า วันเพ็ญคืนนี้ช่างน่าอัศจรรย์จริง พระจันทร์ได้ปรากฏบนฟ้าถึง ๒ ดวง แต่เมื่อราชรถเคลื่อนเข้ามาใกล้ มหาชนได้เห็นชัดเจน จึงได้พากันชื่นชมโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง
 
     มาตลีเทพบุตรทำประทักษิณรอบพระนคร แล้วนำราชรถจอดตรงช่องพระแกล ในวันนั้นพระราชาเสด็จออกตรวจโรงทานกับหมู่อำมาตย์ และข้าราชบริพาร ประทับนั่งอยู่กลางท้องพระโรง ตรัสให้โอวาทที่ประกอบไปด้วยธรรม ทรงสมาทานอุโบสถ และประทับอยู่ ณ ที่นั้น เมื่อมาตลีเทพบุตรทูลเชิญพระราชาให้เสด็จขึ้นเวชยันต์ราชรถ พระเจ้าสาธินะเสด็จขึ้นประทับบนราชรถแล้วเหาะขึ้นสู่อากาศ หายวับไปในขณะที่มหาชนทั้งหลายกำลังมองดูอยู่ มาตลีเทพบุตรได้นำพระราชามาสู่เทวโลก ปรากฏต่อหน้าเหล่าเทวดาทั้งหลาย เมื่อเหล่าเทวดาได้เห็นพระราชาต่างพากันชื่นชมยินดีอนุโมทนาสาธุการกับพระองค์
 
     ท้าวสักกเทวราชทรงชื่นชมโสมนัส ได้เชื้อเชิญพระราชาให้ประทับนั่งบนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เสมอกันกับพระองค์ ทรงแบ่งทิพยสมบัติครึ่งหนึ่งให้พระองค์ครอบครอง เมื่อกาลเวลาล่วงไป ๗๐๐ ปีมนุษย์ พระเจ้าสาธินะยังคงประทับอยู่ในเทวโลก ขณะนั้นพระองค์เกิดมีพระอาการร้อนรุ่มในพระสรีระ จึงทูลถามท้าวสักกะว่า สรีระของพระองค์จะถึงความดับสิ้นไปหรืออย่างไร หรือว่าเป็นเพราะอำนาจแห่งวิบากกรรม จึงทำให้เกิดความรุ่มร้อนอย่างนี้ ไม่มีความสุขเหมือนแต่ก่อน
 
     ท้าวสักกเทวราชจึงกล่าวว่า "ขอพระองค์อย่าได้กังวลพระทัยไปเลย พระชนมายุของพระองค์ยังไม่หมดสิ้นไปในตอนนี้ แต่ที่ทรงเร่าร้อนก็เพราะว่า ผลแห่งบุญที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้ในมนุษยโลกมีไม่มาก เปรียบแล้วเหมือนกับธุลีที่มีปริมาณน้อยนิด เมื่อเทียบกับผืนปฐพีทั้งหมด ไม่เป็นไรหม่อมฉันจะแบ่งบุญให้ ขอพระองค์ทรงประทับอยู่ในเทวโลกนี้ต่อไปเถิด” แต่พระเจ้าสาธินะทรงปฏิเสธ ดำริว่า ยานพาหนะที่ยืมเขามาขับ ทรัพย์ที่ยืมเขามาใช้ สิ่งนั้นก็ยังไม่ใช่เป็นของเราโดยแท้จริง
 
     พระราชาจึงได้ตรัสตอบท้าวสักกะว่า “หม่อนฉันมิได้มีความปรารถนาความสุขที่เกิดจากบุญที่พระองค์แบ่งให้เลย แต่หม่อมฉันอยากบำเพ็ญบุญเอง เพื่อจะได้เป็นอริยทรัพย์ติดตามหม่อมฉันไป” แล้วพระราชาก็ปรารถนาที่จะกลับไปยังมนุษยโลก เพื่อจะได้บำเพ็ญบุญกุศลให้มากขึ้น ท้าวสักกะทรงรับสั่งให้มาตลีเทพบุตรนำพระราชากลับไปสู่มิถิลานคร โดยส่งเสด็จในพระราชอุทยาน
 
     พระราชาทรงเดินจงกรมอยู่ในพระราชอุทยานนั้น เมื่อนายอุทยานเห็นก็นำความขึ้นกราบทูลแด่พระเจ้านารทะ ซึ่งเป็นพระราชาองค์ปัจจุบันให้ทรงทราบ เมื่อพระเจ้านารทะเสด็จมาถึง ได้ประทับ ณ ที่อันควร แล้วตรัสว่า “ข้าพระองค์เป็นพระนัดดาของพระราชาองค์ที่ ๗”
 
     พระเจ้าสาธินะได้เสด็จลุกขึ้นจูงพระหัตถ์ของพระเจ้านารทะ เสด็จพระราชดำเนินไปโดยรอบ ทรงชี้ให้ดูว่า ที่ตรงโน้นเคยเป็นไร่นา ที่ตรงนี้เคยเป็นร่องน้ำ ที่นี้เคยเป็นแผ่นดินมีหญ้าเขียวขจี ตรงนั้นเคยเป็นแม่น้ำใหญ่ซึ่งไหลอยู่ตลอดเวลาไม่ขาดสาย มีน้ำใสสะอาด ดารดาษไปด้วยดอกปทุม
 
     พระเจ้านารทะตรัสว่า “เมื่อพระองค์ได้เสด็จไปยังเทวโลก ๗๐๐ ปี บรรดาพระญาติทั้งหลายได้สิ้นพระชนม์กันไปหมดแล้ว ส่วนหม่อมฉันเป็นหลานของพระองค์ ได้สืบสันตติวงศ์ต่อมา ฉะนั้นขอให้พระองค์เสด็จเสวยพระราชสมบัติเถิด” แต่พระเจ้าสาธินะกลับปฏิเสธว่า “ที่เรากลับมาในครั้งนี้ ไม่ได้ต้องการราชสมบัติ แต่ต้องการบำเพ็ญบุญกุศล เราจะขวนขวายในการทำบุญเท่านั้น ทิพยวิมานทั้งหลายเราได้เห็นแล้ว สมบัติอันเป็นทิพย์เราก็ได้ครอบครองแล้ว แต่เราตั้งใจสละทิพยสมบัติอันประณีตเหล่านั้น กลับมาในมนุษยโลกก็เพื่อต้องการจะทำบุญ ดำเนินไปตามทางแห่งพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อน” จากนั้นพระเจ้าสาธินะก็ได้บริจาคทานอย่างมโหฬารตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ นั่นเอง พระองค์ก็สวรรคตและได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์
 
     เพราะฉะนั้น บุญเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของพวกเราทั้งหลาย เราจะมีความสุขได้ก็เพราะอาศัยบุญ ถ้าเรามีบุญน้อยอุปสรรคก็มาก ความสุขความสำเร็จก็มีน้อย ถ้ามีบุญมากอุปสรรคก็น้อย ความสุขความสำเร็จก็มีมาก ดวงบุญจะมีอานุภาพดึงดูดแต่สิ่งที่ดีๆ เข้ามาในชีวิต ทำให้เรามีจังหวะชีวิตที่ดี พบเจอแต่คนดี สมบัติทั้งหลายก็หลั่งไหลมา เพราะบุญเป็นเบื้องหลังของความสุขและความสำเร็จทุกอย่าง ไม่ว่าจะเจออุปสรรคยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ให้นึกถึงบุญไว้ อย่าได้ขาดการทำบุญกัน แล้วบุญในตัวจะช่วยเปลี่ยนวิกฤติมาเป็นโอกาสได้ในที่สุด


พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี
 
นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 
* มก. เล่ม ๖๐ หน้า ๔๙๔

 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
บุญเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งบุญเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง

แสวงจุดร่วม สมานจุดต่างแสวงจุดร่วม สมานจุดต่าง

อย่าโกรธกันเลยอย่าโกรธกันเลย



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน