View this page in: 中文
จากตอนที่แล้ว พระเจ้ามฆเทวราชได้เสด็จออกจากพระนคร แล้วทรงผนวชเป็นดาบส เจริญพรหมวิหาร ๔ ทรงได้บรรลุฌานสมาบัติ ละจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก ท้าวมฆเทวราชผู้ดำรงอยู่ในพรหมโลกนั้น ได้ทรงตรวจตราดูวงศ์กษัตริย์ของพระองค์มาโดยตลอด ได้เห็นว่า วงศ์กษัตริย์ของพระองค์ได้สืบต่อการออกบวชเรื่อยมาไม่ขาดสายเลย เป็นจำนวนกษัตริย์ถึง ๘๔,๐๐๐ พระองค์แล้ว ก็ยิ่งมีปีติเป็นทวีคูณ
แต่เมื่อทรงตรวจดูต่อไป ก็ได้เห็นว่า กษัตริย์พระองค์ต่อไปจะไม่สามารถรักษาประเพณีนี้ไว้ได้ จึงมีพระดำริว่า เรานี่แหละ จะสืบต่อวงศ์กษัตริย์ของเราเอง จึงอธิษฐานจิตจุติจากพรหมโลกลงมาถือปฏิสนธิในพระครรภ์แห่งพระอัครมเหสีของพระราชาในกรุงมิถิลา
ในวันขนานพระนาม พราหมณ์ได้ตรวจดูพระลักษณะแล้วกราบทูลพระราชาว่า พระราชกุมารเป็นผู้ที่จะมาสืบต่อวงศ์กษัตริย์ของพระองค์เอง เพราะเหตุนี้ พระราชบิดาจึงทรงขนานพระนามพระราชโอรสว่า เนมิราชกุมาร ซึ่งแปลว่า กุมารผู้เป็นเหมือนล้อรถที่หมุนเวียนมาตามรอยเดิม
เมื่อทรงเจริญวัยวัฒนา พระราชาผู้เป็นพระชนกทรงมีเส้นพระเกศาหงอกแล้ว ก็ทรงมอบราชสมบัติให้แก่พระเนมิราชกุมารสืบต่อไป แล้วพระองค์เองก็ออกผนวชในพระราชอุทยานอัมพวัน ได้ทรงเจริญภาวนาตลอด ๘๔,๐๐๐ ปี เมื่อทรงละโลกแล้วก็ได้ไปสู่พรหมโลก
มาถึงตอนนี้ ใคร่จะขอชี้แจงให้กระจ่างขึ้นสักหน่อยหนึ่งว่า โดยปกติทั่วไปแล้ว การทำอธิมุตกาลกิริยา (อะ-ธิ-มุต-ตะ-กา-ละ-กิ-ริ-ยา) คือการอธิษฐานจิตดับชีพของตนลงมาเกิดสร้างบารมีในโลกมนุษย์นี้ จะทำได้ก็เฉพาะพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายที่สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิตเท่านั้น
ส่วนมหาพรหมเนมิราชนี้ ทรงเป็นนิยตโพธิสัตว์ที่มีอธิษฐานบารมีแก่กล้า เพราะทรงสร้างบารมีมายาวนาน ใกล้จะเต็มเปี่ยมแล้ว จึงสามารถอธิษฐานจิตจุติลงมาเช่นนี้ได้
พระเจ้าเนมิราชพระองค์นี้ เมื่อทรงเจริญวัยได้ครองราชย์สมบัติต่อจากพระราชบิดาแล้ว ก็ทรงโปรดให้สร้างโรงทาน ๕ แห่ง คือ ที่ประตูพระนครทั้ง ๔ ทิศ ทิศละ ๑ แห่ง และที่ท่ามกลางพระนครอีก ๑ แห่ง ทั้งได้พระราชทานทรัพย์เพื่อเป็นค่าเสื้อผ้าและอาหารที่โรงทานแห่งละ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะทุกวัน รวมแล้วในแต่ละวันพระองค์จะทรงบริจาคทรัพย์วันละ ๕๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ไม่เคยขาดเลย นอกจากนี้พระองค์ยังทรงรักษาศีล ๕ เป็นปกติ และสมาทานองค์อุโบสถศีลทุกวันพระที่มีพระจันทร์เต็มดวง และวันที่พระจันทร์ดับ ทั้งยังทรงชักชวนมหาชนให้สั่งสมบุญบารมี มีการให้ทานเป็นต้นอยู่เนืองนิตย์ ทั้งยังทรงสั่งสอนมหาชนให้รู้จักหนทางแห่งสวรรค์ และให้ห่างไกลจากโทษภัยในอบายภูมิ
ประชาชนของพระองค์ส่วนมากได้ตั้งอยู่ในพระราโชวาท พร้อมใจกันสั่งสมบุญกุศลอย่างเต็มที่ ละจากอัตภาพนั้นแล้วก็บังเกิดในเทวโลก จนสวรรค์ชั้นต่างๆ เนืองแน่นด้วยเทวดา ส่วนประชาชนในยุคของพระองค์ ผู้ที่ตั้งอยู่ในความประมาทก่อบาปอกุศลนั้นมีน้อย จึงทำให้นรกกลับว่างเปล่าเหมือนห้องโถงที่ร้างว่างจากการใช้งาน ฉะนั้น
การที่พระองค์ได้ทำหน้าที่ชักชวนให้ประชาชนตั้งอยู่ในหนทางแห่งสวรรค์นี้ ทำให้พระเกียรติยศชื่อเสียงได้แผ่ขจรขจายไปทั่วชมพูทวีป ประชุมชนทุกหมู่เหล่าต่างเกิดความเคารพเลื่อมใส เมื่อมีการกล่าวพระนามของพระองค์ขึ้นเมื่อใด ต่างก็จะประนมมือขึ้นไหว้ กล่าวสรรเสริญการกระทำของพระองค์ จนพระนามของพระองค์เป็นสัญลักษณ์แห่งการทำความดี และการชักชวนคนทำแต่ความดี บ้านเมืองไร้คนภัยพาล ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขเรื่อยมา
การสั่งสมกุศลธรรมของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ยิ่งกว่าพระราชาพระองค์ใดๆ ในพระวงศ์ตระกูลที่สืบต่อกันมาทั้งหมด และจากการที่มหาชนประพฤติศีล ๕ กันเป็นปกติ และการกล่าวสรรเสริญพระเกียรติคุณของพระองค์ไม่ขาดสายเหล่านี้ แผ่ขยายสูงขึ้นไปจนถึงสวรรค์ภูมิแห่งเทวดาทุกหมู่เหล่า
แม้เทวดาในดาวดึงส์พิภพผู้ประชุมกันอยู่ ณ สุธรรมมาเทวสภา ก็ล้วนเป็นเทวดาที่เคยได้สั่งสมบุญโดยการชี้ชวนและชักนำของพระเจ้าเนมิราช ต่างก็สนทนาปราศรัยกันอยู่ว่า พระเจ้าเนมิราชสอนอะไรแก่ท่านเล่า วิมานของท่านถึงได้สว่างไสวถึงเพียงนี้ จากนั้น ก็ผลัดกันเล่ากุศลกรรมของตนเอง และจบท้ายด้วยการกล่าวสรรเสริญพระคุณของพระเจ้าเนมิราชผู้เป็นอาจารย์ ที่เป็นต้นบุญชี้ทางสว่างให้ได้มาเสวยทิพยสมบัติอันมากมายสุดจะคณานับ
การกล่าวสรรเสริญคุณของผู้มีคุณ นี้เป็นปกติของเทวดาทั้งหลาย ประดุจเหล่าสตุลลปกายิกาเทพบุตร (สะ-ตุล-ละ-ปะ-กา-ยิ-กา) ผู้ตั้งอยู่ในคณะเทพบุตรผู้ยกย่องความดี ซึ่งในอดีตชาติตอนเป็นมนุษย์ได้รับศีล ๕ จากอุบาสกผู้เป็นอาจารย์ เมื่อเรืออับปางหลังจากที่ได้รับศีลแล้ว ก็ได้มาบังเกิดอยู่ในสโมสรแห่งเทพบุตร ด้วยอานิสงส์แห่งศีลนั้น เมื่อระลึกถึงคุณของอาจารย์ ต้องการจะสรรเสริญพระคุณนั้น จึงมายังพระเชตวันมหาวิหาร ถวายบังคมพระบรมศาสดา กราบทูลยกย่องคุณความดีของอาจารย์อย่างนั้น
ครั้งหนึ่ง พระเจ้าเนมิราชทรงสมาทานอุโบสถศีล ในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ โดยพระองค์ทรงเปลื้องพระราชาภรณ์ทุกอย่าง ทรงสวมชุดขาวอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์บรรทมอยู่บนพระแท่นอันมีสิริ เสวยสุขจากนิทรารมณ์ตลอด ๒ ยาม จากนั้นจึงทรงตื่นบรรทมในเวลาปัจฉิมยาม นั่งสมาธิคู้บัลลังก์ แล้วทรงดำริว่า ผลแห่งการให้ทานไม่มีประมาณโดยตัดขาดจากใจและไม่เสียดายในทานที่เราให้แก่ทุกคน กับการรักษาศีลประพฤติพรหมจรรย์ของเรา อย่างไหน จะมีผลานิสงส์มากกว่ากันหนอ
จากพระดำรินี้เอง ทำให้พระองค์ไม่สามารถขจัดความสงสัยไปได้ และนั่นเองจึงเป็นเหตุให้พิภพดาวดึงส์อันเป็นที่สถิตของท้าวสักกะจอมเทพเกิดเร่าร้อนขึ้นมา พระผู้เป็นใหญ่แห่งดาวดึงส์พิภพจึงได้ทรงสอดส่องทิพยเนตรดู ก็ทรงเห็นพระเจ้าเนมิราชกำลังวิตกกับปัญหาที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นมาเอง แต่ยังไม่สามารถจะขจัดปัญหาที่ตนเองตั้งขึ้นได้ ส่วนว่า ท้าวสักกเทวราช เมื่อทรงเห็นต้นตอแห่งปัญหาแล้ว จะเสด็จลงมาช่วยแก้ไข และแนะนำพระเจ้าเนมิราชอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)