สันติภาพนั้นสัมผัสได้


[ 7 ธ.ค. 2550 ] - [ 18266 ] LINE it!

ผลปฏิบัติธรรม

กัลยาณมิตร คนุท อาร์ลิง เบร็คเก้ (ประเทศนอร์เวย์)
 
 
    ผมชื่อ คนุท อาร์ลิง เบร็คเก้  (Knut Erling Brekke) อายุ 73ปี ชาวนอร์เวย์ครับ ผมเกิดในครอบครัวของ Farmer (เกษตรกร) ดูแลเลี้ยงแกะเป็นร้อยตัว และที่ฟาร์มนั้นได้เปิดให้ผู้คนมาเยี่ยมชม และในช่วงหนึ่งของประสบการณ์ชีวิต ก็เคยเป็นคุณครูนานนับ 10ปี จากนั้นได้ก้าวมาสู่งานสังคมมากขึ้น ในสายการเมืองการปกครอง เริ่มจากระดับท้องถิ่นจนกระทั่งระดับประเทศ และผมเคยทำงานเป็นที่ปรึกษาฝ่ายพลังงาน คณะกรรมาธิการฝ่ายความยุติธรรมด้วยครับ
 
    ผมมาเมืองไทยครั้งแรก เมื่อ 6เดือนที่แล้ว มาเยี่ยมลูกชายสุด love คือMr.ซิคเว่ เบร็คเก้ ซึ่งเป็น CEO ของ DTAC ดูเหมือนว่า ลูกชายของผมจะชอบเมืองไทยมากๆ เขาบอกว่า “พ่อมาเมืองไทยซักครั้งเถอะ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น” พอเดือนมิถุนายน ผมก็ได้มาอยู่สองสัปดาห์
 
    วันหนึ่ง ผมได้ไปเยี่ยมชมอาณาจักรโบราณแห่งกรุงศรีอยุธยาด้วยตัวเอง แล้วผมก็หลงรักเข้าเต็มเปา ผมชอบทุกอย่าง ตั้งแต่อาหารไทย วัฒนธรรมไทย ประเพณีไทย คนไทย แต่ถ้าให้ผมเลือกจริงๆว่า “ชอบอะไรที่สุด” บางทีผมอาจจะตอบว่า “ประเทศไทยไม่มีหิมะกระมัง เพราะที่นอร์เวย์หนาวมาก ผมไม่ชอบหิมะเลยครับ” และที่สำคัญ คือ เมืองไทยมีพระพุทธศาสนา
 
    ผมสนใจพระพุทธศาสนามานาน และคิดว่า ทุกศาสนาดีหมด แต่พระพุทธศาสนาแตกต่างออกไป เพราะในคำสอน มีแต่เรื่องราวของสันติภาพ ความรัก และความสงบสุข เมื่อมองดูปัญหาต่างๆทั่วโลก เราจะพบว่า ส่วนมากเกิดจากความขัดแย้ง ระหว่างศาสนา แต่เราจะไม่เจอในศาสนาพุทธเลย ศาสนาพุทธไม่เคยก่อสงคราม ไม่รุกรานใคร ที่สำคัญที่สุด พระพุทธศาสนาสอนเรื่องสมาธิครับ ผมจึงรู้สึกว่า เมืองไทยนอกจากจะเป็นดินแดนแห่งพุทธศาสนาแล้วยังเป็นดินแดนแห่งสันติภาพด้วยครับ
 
 
    จากการเยือนเมืองไทยคราวนั้น ทำให้ผมรู้สึกว่า “มาเมืองไทยเพียงครั้งเดียวคงไม่พอเสียแล้ว” ผมจึงได้ส่งจดหมายมาหา Mr.บุญชัย เบญจรงคกุล ซึ่งเป็น friend and partner (เพื่อนและหุ้นส่วนของธุรกิจ DTAC) ของซิคเว่ ลูกชายผม ซึ่ง Mr.บุญชัย เป็นคนไทยที่น่ารักมากๆ จากข้อความสั้นๆ ทางจดหมายที่ผมส่งมาบอก Mr.บุญชัยว่า “ผมจะมาประเทศไทยอีกครั้ง อยากมาอยู่นานๆ เพื่อที่จะได้มีเวลาศึกษาพระพุทธศาสนา อยากจะมาแสวงหาทางนิพพาน เพียงแค่นั้น เขาก็ตั้งใจที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ผม นั่นคือ การนั่งสมาธิ ในโครงการ The Middle Way ที่ จังหวัดเชียงใหม่
 
 
    ผมชอบเมืองไทยมาก ทุกคนให้การต้อนรับอย่างดี  เป็นความรู้สึกที่ Deep impression (ประทับใจอย่างสุดซึ้ง) ผมรู้สึกโชคดีกว่า ชาวต่างชาติคนอื่นๆที่มาเมืองไทย มาอย่างผิวเผิน แต่ผมได้มาเมืองไทย แบบเข้าถึงแก่นวัฒนธรรมไทยอย่างแท้จริง วัฒนธรรมไทยเป็นของมีค่า ผมสัมผัสได้ถึงความมีไมตรีจิตที่ทุกคนมอบให้จากรอยยิ้ม และการไหว้ ช่างเต็มไปด้วยมิตรภาพ และเรื่องอาหารผมได้รับความสะดวกจาก กัลยาณมิตร วรรณา จิรกิติ เตรียมให้เป็นอย่างดี ทั้งขนมปัง สปาเก็ตตี้ และอาหารไทย เธอเตรียมให้ทุกอย่างจนผมแฮปปี้มากๆ
 
    ในวันแรกของการปฏิบัติธรรม คือ วันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา พระอาจารย์ได้แนะนำให้ผมรู้จัก Center of the body คือ ศูนย์กลางกาย วันนี้ ผมสามารถนึกถึง Bubble (ฟองสบู่) ไว้ที่ศูนย์กลางกายได้อย่างนุ่มนวล ผมรู้สึกว่า การนั่งสมาธินั้นง่าย เพียงแค่ผมนั่งลง แล้วก็หลับตาเบาๆ พร้อมกับขจัดความคิดในหัวสมองให้หายไป จากนั้นผมก็แค่เอาใจมาวางนิ่งๆและภาวนา “สัมมา อะระหัง” มันง่ายมาก
 
 
    ในขณะนั้น ผมรู้สึกว่า ใจของผมสะอาด บางทีเหมือนกับเคลิ้มหลับไป ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างมหัศจรรย์ สัมผัสได้ถึงสันติภาพภายใน ซึ่งไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่า สันติภาพนั้นสัมผัสได้ และวันต่อมา คือวันที่ 5 ธันวาคม ได้มีกิจกรรมเป่า Bubble ร่วมกับคณะปฏิบัติธรรมที่สวนพนาวัฒน์ ผมใจสบายมาก สามารถย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กได้อีกครั้งและนึกถึง Bubble ในกลางท้องได้ชัดเจนเหมือนกับที่ผมลืมตาเห็น
 
 
    ต่อมาวันที่ 6 ธันวาคม พระอาจารย์นิโคลัส แนะนำให้รู้จักการแผ่ความรักความเมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ผมสามารถเห็น Bubble ผุดเป็นสายอยู่ภายในเหมือนเมื่อตอนที่ผมเป่า Bubbleได้ และขยาย Bubble ให้กว้างออกไปคลุมห้องปฏิบัติธรรมได้ (แต่ก็ติดอยู่ที่กำแพง)
 
 
    เมื่อเช้านี้ วันที่7 ธันวาคม ผมวางใจสบายๆ นึก Bubble ไว้อยู่ที่กลางท้อง และค่อยๆขยาย Bubble ออกไปเรื่อยๆ คลุมห้องปฏิบัติธรรม จนทะลุกำแพงออกไปได้ ผมยังขยายต่อไปคลุมสวนพนาวัฒน์ จนขยายคลุมโลกใบนี้ได้ ผมมีความสุขมากๆ happier สุขมากกว่า happy สุขยิ่งกว่าสุข และปรารถนาให้คนทั้งโลกมีความสุขด้วย
 
 
    ทั้งชีวิต ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย แต่ประสบการณ์ที่ได้จากสมาธินั้นเป็นสิ่งที่ใหม่จริงๆ และสมาธิยังมีอะไรให้ผมได้เรียนรู้อีกมาก ผมสนุกกับการเรียนรู้นี้เสียด้วย ชีวิตมนุษย์ทุกคนจะเริ่มต้นได้ก็ต่อเมื่อได้นั่งลงและหลับตาเบาๆนึกถึงดวงตะวันที่กลางกาย ซึ่งมันง่ายสำหรับทุกๆ คนมากเลยครับ
 
    สมาธิจะทำให้คนเราเรียนรู้ว่า ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี นั้นจริงๆ ควรจะเป็นอะไรบ้าง อะไรคือความรู้สึกที่ผิด อะไรคือความรู้สึกชอบ อะไรคือความชั่ว และอะไรคือความดี ซึ่งชาวตะวันตกได้เสียเวลามากมาย เสียเวลาที่จะไปอ่านตำรา ร่ำเรียน แต่หารู้ไม่ว่า ปรัชญาตะวันออก  เช่น สมาธินั้น สามารถไขปัญหาข้อข้องใจเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจริงๆ
 
 
    สมาธิเป็นแบบฝึกหัดที่ดีมากๆของชีวิต คนที่ได้ฝึกสมาธิ หน้าตาจะดูเบิกบาน แล้วก็จะมีจิตใจที่อ่อนโยน เป็นความอ่อนโยนจากภายใน และเมื่อกลับไปที่นอร์เวย์ในเดือนมีนาคม ปีหน้า ผมก็จะนำความรู้จากการฝึกสมาธิไปสอนเพื่อนๆ และครอบครัว แต่ผมก็จะต้องฝึกให้เก่งๆก่อน  ยังมีเวลาอีกหลายเดือนที่จะฝึกต่อไป และคิดว่า ถ้ากลับลงไป ผมต้องไปขอบคุณ Mr. บุญชัย อย่างยิ่ง เพราะได้พาผมมาสู่สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต และที่ลืมไม่ได้อีกคน คือ ลูกชายที่แสนดีของผมที่ผมรักเขามาก และเขาก็รักผมมากที่สุดเช่นเดียวกัน
 
 
    และผมมีโอกาสได้ไปที่วัดบ้านขุนด้วยครับ และช่วงที่ผมไป สามเณรกำลังรับทำภารกิจบุญอยู่ (รับบุญ) พระอาจารย์ก็เล่าถึง การฝึกสามเณรตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอน กิจกรรมต่างๆที่ฝึกให้ทำในแต่ละวัน สอดรับกันทุกช่วงจังหวะเวลา  ผมเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่าง หลังจากที่ได้เห็นวัดบ้านขุน ทำให้ผมรู้สึกว่า ประเทศไทย ไม่ใช่ประเทศกำลังพัฒนา แต่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และเป็นต้นแบบให้กับประเทศอื่นๆได้ เป็น The Country of the future (ประเทศตัวอย่างแห่งโลกอนาคต)
 
 
    อยู่ที่นี่ผมได้ดู DMC ผมประทับใจพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาก ท่านมีความเป็นอัจฉริยะ ผมเห็นความสว่างไสว และความเมตตาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผ่านออกมาทางหน้าจอ DMC และผมได้อ่านหนังสือ tomorrow the world will change (พรุ่งนี้โลกก็เปลี่ยนแปลงแล้ว) ที่พระอาจารย์มอบให้ ผมเห็นด้วยกับทุกถ้อยคำ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูดถูกต้องทุกเรื่องเลย
 
 
    ผมเชื่อมั่นว่า ทุกสิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อทำ จะทำให้เกิดสันติภาพโลกขึ้นมาได้จริงๆ  ที่สำคัญ ผมอยากให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อ เดินทางไปประเทศนอร์เวย์สักครั้ง ผมเชื่อมั่นว่า  ชาวนอร์เวย์ ต้องการเรียนรู้สมาธิจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และต้องการทราบว่า สันติภาพที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน
 
 
    รัฐบาลนอร์เวย์นั้น แจกรางวัลเพื่อสันติภาพโลกมามากมาย แต่สันติภาพที่แท้จริงนั้นยังไม่เกิดขึ้นสักที ผมอยากจะบอกคณะกรรมการรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ให้หันมามองยังประเทศไทยบ้าง เพราะที่นี่มีวิธีที่จะทำให้เกิดสันติภาพโลกที่แท้จริง โดยผมเองได้สัมผัสประสบการณ์นั้นมาแล้วครับ
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
สุดยอดแห่งกลยุทธ์การแก้ปัญหาสุดยอดแห่งกลยุทธ์การแก้ปัญหา

จดหมาย World-PEC จากเดนมาร์กจดหมาย World-PEC จากเดนมาร์ก

รู้สึกปลอดภัย เหมือนเอาใจใส่เซฟรู้สึกปลอดภัย เหมือนเอาใจใส่เซฟ



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ