ความสุขจากการหยุดนิ่ง


[ 22 ธ.ค. 2550 ] - [ 18269 ] LINE it!

ผลการปฏิบัติธรรม

กัลยาณมิตร สุพัชศินี คำบ่อ (ประเทศไทย)
 
กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพรักอย่างสูงค่ะ
 
ลูกรู้สึกตัวเองเป็น Lucky Girl คือ เป็นคนโชคดีตั้งแต่เล็กๆ เพราะได้มารู้จักคุณครูไม่ใหญ่ เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่เป็นผู้นำบุญ จากการทำหน้าที่กัลยาณมิตรของ พระมหาเสถียร ผู้เป็นพระน้องชายแท้ๆของคุณพ่อ ด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่ in บุญจัด ท่านจึงพยายามจับให้ลูกนั่งสมาธิตั้งแต่ 3ขวบ โดยท่านบอกให้ลูกนึกนิมิตเป็นดวงแก้ว หรือพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ซึ่งลูกก็สามารถทำตามได้อย่างง่ายๆ ถ้าเป็นศัพท์สมัยนี้เขาจะเรียกว่า นึกได้แบบชิวๆ (Chill)
 
แถมยังนั่งได้อย่างต่อเนื่อง ครั้งละถึงครึ่งชั่วโมง ซึ่งการนั่งสมาธิทำให้ผลการเรียนของลูกดีขึ้นตั้งแต่ตอนอนุบาล คือ จากสอบได้ที่4 ขึ้นมาเป็นที่2 แล้วมาเป็นที่หนึ่ง จนกระทั่งลูกเริ่มโตขึ้น ก็ต้องจำใจจากคุณพ่อคุณแม่จาก จังหวัดศรีษะเกษ มาเป็นคนพันธุ์อา คือ เป็นนักเรียนอาชีวศึกษา ซึ่งต้องมาเรียนถึงจังหวัดชลบุรี ด้วยภาระการเรียนและความไม่สะดวกในการเดินทาง ทำให้ลูกไปวัดวันอาทิตย์ได้ไม่บ่อยเท่าเดิม
 
แม้ลูกจะไปเรียนไกล ต้องอยู่หอพักกับเพื่อน แต่เวลาเลิกเรียนแล้ว ก็ไม่เคยทำตัวแบบ เด็กแว้น (วัยรุ่นผู้ชายที่ชอบเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์เสียงดัง “แว้นๆ” รบกวนโสตประสาท) หรือ เด็กสก๊อย (วัยรุ่นหญิงใส่กางเกงยีนส์ขาสั้นมากๆ ซ้อนท้ายเด็กแว้น) เพราะลูกเป็น เด็กสร้าง ของคุณครูไม่ใหญ่ คือ ไม่กินเล่นเต้นเที่ยว ไม่เคยทิ้งการนั่งสมาธิเลยค่ะ แม้ลูกจะนั่งไม่ค่อยดี เพราะเมื่อโตขึ้นลูกมีนิสัยใจร้อนเพิ่มขึ้น จึงทำให้ลูกติดลุ้น อยากเห็นดวงเร็วๆ เหมือนครั้งที่เห็นตอนเด็กๆ ลูกจึงใช้ตาเพ่งไปที่กลางท้อง จนทำให้รู้สึกปวดตา ด้วยเหตุนี้ทำให้ลูกนั่งได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
 
    หลังจากที่ลูกเรียนจบวิทยาลัยอาชีวศึกษาแล้ว ก็มาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะบริหารธุรกิจ ซึ่งตั้งแต่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ลูกรู้สึกชีวิตนี้ มีแต่การแข่งขัน ต้องแก่งแย่งกันทุกอย่าง  ดูวุ่นวายไม่เหมือนต่างจังหวัดเลย ลูกต้องตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ คือตีสี่ครึ่ง ฝ่าสภาพการจราจรที่คับคั่งเพื่อไปเรียน หนำซ้ำพอ 5โมงเย็น ถึงเวลาเลิกแล้ว ก็ต้องโหนรถเมล์ที่เบียดเสียด กว่าจะถึงบ้านก็หนึ่งทุ่ม ลูกรู้สึกเบื่อ หงุดหงิด เซ็ง จำเจ ไม่มีความสุขเลย
 
    จนต้องเร่งวันเร่งคืน อยากให้ถึงวันอาทิตย์เร็วๆ เพื่อจะได้มาวัด มายังสถานที่ที่ไม่วุ่นวาย มาทำหน้าที่อาสาสมัครแผนก V-net (Volunteer Network) เข็นรถรัตตัญญู ต่อมาก็ได้ไปทำหน้าที่เป็น Supervisor ทางก้าวหน้าปี พ.ศ.2550 และลูกก็ได้ชวนเพื่อนไปด้วย 8คน พวกเราสัญญารับปากกันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า จะไปด้วยกัน แต่พอถึงวันไป ปรากฏว่า เพื่อนทำเป็นแอ๊บแบ๊ว (Abnormal+บ้องแบ๊ว คือ ทำเป็นไร้เดียงสา) กันหมดเลยค่ะ ไม่รู้เรื่อง ติดธุระโน่นนี่ไม่อยากไปซะงั้น
 
    ทำให้ลูกรู้สึกโกรธเพื่อนมากๆ ถึงขนาดลบเบอร์มือถือของเพื่อนทิ้งหมด และคิดในใจว่า จะไม่ให้อภัยอีกแล้ว จนกระทั่งมีพี่มาบอกว่า ยังไงคนเราก็ต้องมีเพื่อน แล้วพี่ก็ชวนให้ไปหาเพื่อนแท้ ไปนั่งสมาธิกับอาสาสมัคร 7วัน ที่สวนเพชรแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ ลูกจึงตัดสินใจไปด้วย เพราะต้องการหาความสงบ และอยากจะได้เพื่อนแท้ที่อยู่ภายในค่ะ
 
ดังนั้น วันแรกที่อยู่สวนเพชรแก้ว ลูกจึงฟุ้งระเบิดระเบ้อเลยค่ะ เหมือนใจถูกแบ่งเป็น 2ส่วน คือ ส่วนหนึ่งพยายามนึกถึงดวงแก้ว อีกส่วนหนึ่งก็พยายามฟุ้งทุกเรื่อง จนพระอาจารย์ท่านแนะว่า ถ้าฟุ้งแล้วยังเอาเรื่องที่ฟุ้งไปคิดต่อ ก็จะฟุ้งไม่จบ ลูกจึงพยายามเฉยๆ จนใจเริ่มนิ่งขึ้น
 
เมื่อเข้าสู่วันที่สาม พระอาจารย์ได้นำนั่งสมาธิ ลูกจึงปล่อยใจตามเสียงของท่าน ปรับร่างกายให้อยู่ในท่าที่สบายที่สุด พอปรับร่างกายสบาย ก็หลับตาลงเบาๆ นึกซะว่า เรานั่งอยู่ในที่ๆ เราชอบที่สุด เช่นนั่งอยู่ที่ทิวสน หรือ นั่งอยู่ที่เกาะช้าง ที่มีเพียงหาดทราย ทะเล สายลมและสองเรา คือ ตัวเรากับองค์พระภายใน ทำความรู้สึกอย่างนี้ จนกระทั่งลูกรู้สึกร่างกายเบาสบาย จนเหมือนตัวหายไปจริงๆ และทำใจนิ่งๆ จนพระอาจารย์พูดว่า “ให้อาราธนาองค์พระคลุมตัวเรา”
 
พอท่านพูดประโยคนี้จบ ลูกรู้สึกเหมือนมีองค์พระมาคลุมตัวลูกจริงๆ ซึ่งท่านมาพร้อมกับความสว่างมากๆ ซึ่งตอนนั้นลูกเห็นองค์พระ ท่านนั่งขัดสมาธิเต็มองค์ แล้วมองต่อไปเรื่อยๆ อยู่ๆก็เหมือนมีแรงอะไรมาสูบลูกลงไปที่ศูนย์กลางกายนั้น เหมือนลูกยืนอยู่บนหน้าผา แล้วมีคนมาผลักให้ลูกหัวทิ่มตกลงไป
 
    แม้ตอนนั้นลูกจะรู้สึกตกใจ แต่ลูกก็ไม่ลืมตา ยังคงรักษาใจให้นิ่งอยู่อย่างนั้น จนรู้สึกเหมือนมีอะไรมายืดตัวให้ขยายออกไปอีก ซึ่งลูกไม่ฝืน จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ จนกระทั่งได้ยินเสียงพระอาจารย์นำนั่งต่อไปว่า ให้อาราธนาพระธรรมกาย พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ มาซ้อนคลุมที่ตัวลูก จากนั้นลูกก็สามารถย่อขยายองค์พระได้ แล้วนึกให้มีองค์พระองค์ใหม่ผุดขึ้นมาแทนที่ เป็นอย่างนี้ช้าๆ
 
    สักพักหนึ่ง ก็มีองค์พระผุดซ้อนขึ้นที่ศูนย์กลางกายแบบเร็วมากๆ เร็วจนนับไม่ทัน จนลูกต้องบอกในใจว่า “พอก่อนได้ไหมค่ะ หนูหายใจไม่ออกค่ะ” แต่ยิ่งพูดเหมือนยิ่งยุ เพราะองค์พระยิ่งผุดซ้อนเร็วขึ้นมาเป็นสายเหมือนติดเทอร์โบ จนลูกนึกถึงเพลงผุดขึ้นทีละองค์ ความรู้สึกลูกเหมือนในเพลงเลยค่ะ
 
    แม้ลูกนั่งได้นานถึง 2ชั่วโมงแต่เหมือนนั่งแค่ 10นาทีเท่านั้นเอง ลูกมีความสุขมาก ไม่เคยมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต เหมือนได้มาเจอชีวิตใหม่ บนโลกใบใหม่ ที่มีแต่ความสุขสงบ ไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีความรีบเร่งหลงเหลืออยู่ สุขจนลูกยิ้มได้ทั้งวัน ซึ่งนึกแล้วก็ตลกตัวเองค่ะว่า ทำไมเราถึงยิ้มได้ทั้งวันโดยไม่มีเหตุผล ทำให้ลูกรู้สึก อ๋อ...ขึ้นมาทันทีว่า “สุขจากการหยุดการนิ่งมันเป็นอย่างนี้นี่เอง”
 
    หลังจากลูกสัมผัสประสบการณ์ภายในอย่างนี้แล้ว ลูกรู้สึกว่า เราสามารถให้อภัยเพื่อนทั้ง 8คนได้ง่ายๆ เพราะความโกรธได้มลายหายไปจนหมดแล้ว ประกอบกับที่คุณพ่อบอกว่า หากลูกยังทำหน้าที่กัลยาณมิตร ชวนเพื่อนไม่ครบ 2,500ครั้ง ก็อย่าเพิ่งท้อ ให้ทำหน้าที่กัลยาณมิตรต่อไป เพราะลูกก็เพิ่งชวนพวกเขาได้แค่ร้อยกว่าครั้งเท่านั้นเอง
 
    ทุกวันนี้ลูกมีความสุขมากๆ เพราะสามารถมองเห็นองค์พระอยู่กลางท้องได้ตลอดเวลา สุขแม้ต้องอยู่ในสังคมเมือง ที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันกันอย่างวุ่นวาย
 
กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง
 
ลูก สุพัชศินี คำบ่อ


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ถ้ากล้า แล้วจะรุ่งถ้ากล้า แล้วจะรุ่ง

จดหมายจากพระกัลยาณมิตรรุ่นที่๗๒จดหมายจากพระกัลยาณมิตรรุ่นที่๗๒

แม่ค้าพวงมาลัย ยอดนักสร้างบารมีแม่ค้าพวงมาลัย ยอดนักสร้างบารมี



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ