ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 50


[ 4 มี.ค. 2551 ] - [ 18267 ] LINE it!

 
ทศชาติชาดก
 
เรื่อง  มโหสถบัณฑิต   ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี  ตอนที่ 50


        จากตอนที่แล้ว   ชายหนุ่มปิงคุตตระ เมื่อได้ฟังว่าอาจารย์เต็มใจที่จะยกบุตรสาวให้ตน เขาก็มิได้เกิดความดีใจ ทั้งมิได้เต็มใจที่จะรับนางมาเป็นศรีภรรยาเลย แต่ก็จำใจตอบรับความเมตตาของอาจารย์ด้วยความเกรงใจ

        อาจารย์ทิศาปาโมกข์จึงได้จัดพิธีแต่งงานให้ทั้งคู่อย่างเหมาะสมตามประเพณี ทำให้ปิงคุตตระต้องเลื่อนเวลาเดินทางกลับมิถิลานครไปอีกหนึ่งสัปดาห์ เพียงคืนแรกที่ได้นอนร่วมกับนาง ชายหนุ่มก็รู้สึกอึดอัดร้อนรนทนไม่ได้ จำต้องลงจากเตียงมานอนที่พื้น

        ฝ่ายนางครั้นเห็นสามีประพฤติเช่นนั้น ก็ไม่อาจจะทนนอนบนเตียงต่อไปได้ จำต้องตามลงมานอนข้างล่างเคียงข้างสามี แต่ปิงคุตตระก็กลับขึ้นไปนอนบนเตียงเหมือนเดิม นางก็ตามขึ้นไปนอนบนเตียงอีก เขาเห็นนางตามขึ้นมา ก็รีบเผ่นกลับลงมานอนข้างล่างอีกครั้ง

        การณ์ดำเนินไปเช่นนี้ถึงหนึ่งสัปดาห์ ปิงคุตระก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่มิถิลานครในทันที ตลอดระยะทางทั้งคู่ต่างคนต่างเดิน มิได้พูดคุยกันฉันท์สามีภรรยาทั่วไป

        ครั้นถึงกรุงมิถิลานคร ปิงคุตตระได้ปีนขึ้นไปบนต้นมะเดื่อเก็บผลมะเดื่อกินแต่เพียงผู้เดียว โดยมิได้แบ่งปันให้แก่นางผู้เป็นภรรยาเลย นางจึงขอให้เขาโยนผลมะเดื่อลงมาให้เธอบ้าง แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธว่า  “มือเท้าของเธอก็มี เธอก็ขึ้นมาเก็บกินเองซิ ฉันไม่ใช่ขี้ข้าของเธอนะ”

        คำพูดประชดประชันของสามี ได้เป็นประดุจหอกทิ่มแทงหัวใจดวงน้อยๆของนาง นางรู้สึกผิดหวังอย่างแรงที่คำขอร้องของนางกลับให้ผลตรงกันข้าม

        ธิดาของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ผู้มีปัญญาอย่างนาง มิเคยต้องยอมจำนนต่อสิ่งใด นางคิดในใจว่า “เอาเถิด ในเมื่อพึ่งพาอาศัยกันไม่ได้ ฉันก็จักปีนขึ้นไปเก็บกินเอง ไม่จำเป็นต้องง้อใคร”  คิดดังนี้แล้ว ก็ปีนขึ้นไปปลิดผลมะเดื่อกินเอง 

        ปิงคุตตระเห็นนางปีนตามขึ้นมา จึงคิดด้วยอัธยาศัยของคนพาลว่า “เราจะหนีไปให้พ้นจากนางกาลกรรณี”  แล้วก็รีบปีนลงจากต้นมะเดื่ออย่างรวดเร็ว

        ไม่เพียงเท่านั้น เขายังไปหอบเอากิ่งไม้ที่มีหนาม มาสุมไว้รอบบริเวณโคนต้นมะเดื่ออีกกองโต ซ้ำยังตะโกนบอกนางให้เจ็บช้ำน้ำใจอีกว่า “เชิญเธออยู่กินให้สบายคนเดียวเถิด ฉันไปล่ะ”
 
        แล้วเขาก็รีบเดินหนีไปจนกระทั่งลับสายตา ขณะที่นางผู้แสนอาภัพ มองดูการกระทำของชายผู้เป็นสามีด้วยความชอกช้ำใจ หมดหนทางที่จะลงจากต้นมะเดื่อได้ นางจำต้องนั่งสิ้นหวัง รันทดระทมใจอยู่บนคาคบของต้นมะเดื่อนั่นเอง 

        ดวงอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลง เงาต้นมะเดื่อค่อยๆทอดยาวไปทางทิศตะวันออก นั่นหมายความว่าในอีกไม่ช้า  ความมืดแห่งรัตติกาลก็จักปกคลุมไปทั่วผืนปฐพี ความหวาดระแวงต่อภยันตรายน้อยใหญ่ ก็ประเดประดังเข้ามาในห้วงคำนึงของนางผู้ที่ถูกทอดทิ้งไว้ให้เดียวดาย 
 
        ด้วยวิสัยแห่งผู้มีปัญญา นางจึงคิดหาวิธีลงจากต้นมะเดื่อ  ความหวังเพียงประการเดียวที่มีอยู่ในขณะนั้นคือ นางต้องร้องขอความช่วยเหลือจากผู้คนที่เดินทางผ่านไปมา ทั้งที่นางเองก็ไม่มั่นใจนักว่า ผู้คนเหล่านั้นจะประสงค์ดีหรือร้ายต่อนางอย่างไร

         แต่ทันใดนั้นเอง นางก็แว่วได้ยินเสียงกลองและเสียงสังข์ดังก้องกังวานขึ้นเป็นระยะๆมาแต่ไกล   นางเหลียวมองตามเสียงนั้นไป ก็พลันเห็นกลุ่มของฝุ่นที่ฟุ้งเป็นควันขึ้นในอากาศ

        ซึ่งเป็นสัญญาณให้นางรู้ว่า นั่นจักต้องเป็นขบวนของผู้ทรงอิสริยยศ อย่างน้อยก็อำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่ หรือมิฉะนั้นก็ขบวนเสด็จของพระราชามหากษัตริย์ ซึ่งกำลังเดินทางกลับเข้าสู่พระนคร 

         เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาทุกขณะ! ความกลัวภัยที่มีอยู่แต่เดิมเริ่มหายไป แต่ความกลัวชนิดใหม่ที่เกิดจากความละอายในชีวิตที่อาภัพอับวาสนาได้เข้ามาแทนที่ นางเริ่มหวั่นใจว่า “ใครหนอเป็นเจ้าของขบวนที่กำลังมาถึง เขาจะดีหรือร้าย เมื่อเห็นเราอยู่บนต้นไม้เช่นนี้แล้วเขาจะคิดอย่างไร” 

        ขบวนนั้นเมื่อเคลื่อนเข้ามาใกล้ ก็ปรากฏว่า เป็นขบวนเสด็จประพาสพระราชอุทยานของพระเจ้าวิเทหราช ท้าวเธอทรงสำราญพระราชหฤทัยในพระราชอุทยานตามพระประสงค์แล้ว ตกเย็นจึงเสด็จกลับคืนสู่พระนคร
 
        ขณะที่กำลังเสด็จผ่านต้นมะเดื่อนั้น ท้าวเธอก็ทรงทอดพระเนตรเห็นนางนั่งอยู่ลำพังผู้เดียวบนคาคบต้นมะเดื่อ  จึงทรงขอเหนี่ยวพระคชาธารให้หยุดรอ ขณะที่เหล่าข้าราชบริพารที่เหลือ ต่างพากันจ้องมองนางอย่างไม่กระพริบตา 

        เพียงครั้งแรกที่พระเจ้าวิเทหราชได้ทอดพระเนตรนางผู้มีสิริโฉมงดงาม ความสิเน่หาก็ชำแรกผิวพระมังสะแล่นไปจรดเยื่อในพระอัฐิ เป็นเหตุให้ท้าวเธอไม่อาจเสด็จผ่านต่อไปได้

        ท้าวเธอทรงเพลินทอดทัศนานางอยู่ครู่หนึ่ง ก็ทรงกลับได้พระสติ จึงมีรับสั่งกะอำมาตย์ผู้ใกล้ชิดว่า “พวกท่านจงไปถามนางให้รู้เรื่องทีซิว่า   นางน่ะมีคู่ครองหรือยัง”
 
        อำมาตย์รับพระกระแสรับสั่งแล้ว ก็ตรงเข้าไปใกล้โคนต้นมะเดื่อ ตะโกนถามนางว่า “แม่นาง เจ้าเหนือหัวทรงใคร่จะทราบว่า ตัวนางนั้นนะ บัดนี้มีคู่ครองแล้วหรือยัง”

        นางได้ยินเช่นนั้นก็ทราบทันทีว่า บุคคลผู้งามสง่าที่ประทับบนช้างนั้น คือพระราชาแห่งชาววิเทหรัฐอย่างแน่นอน จึงตอบไปตามที่เป็นจริงว่า “ท่านเจ้าขา ตัวดิฉันมีสามีแล้ว คือดิฉันถูกบิดายกให้ชายผู้หนึ่งตามประเพณีของสกุล

        แต่ท่านจงดูเถิด บัดนี้เขากลับทอดทิ้งดิฉันไว้บนต้นไม้นี้ แถมยังแกล้งสุมกองหนามไว้ข้างล่าง มิให้ดิฉันลงไปได้ แล้วก็ละทิ้งดิฉันไปเจ้าค่ะ”

        อำมาตย์จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ ท้าวเธอจึงทรงปรารภขึ้นว่า “ธรรมดาภัณฑะที่ไม่มีเจ้าของ ย่อมตกเป็นของหลวง ก็นางผู้นี้เป็นหญิงไร้สามี นางจึงอยู่ในฐานะของหลวงเช่นกัน ถูกต้องหรือไม่ละ ท่านอำมาตย์” 
 
        “ถูกต้องแล้ว พระเจ้าข้า”

        ครั้นแล้วท้าวเธอจึงรับสั่งให้ราชบุรุษช่วยกันขนหนามที่สุมอยู่ใต้โคนมะเดื่อออก แล้วจึงทรงไสช้างเข้าไปใกล้ๆ รับนางลงมาจากต้นมะเดื่อให้นั่งเคียงข้างพระองค์

        นางครั้นได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่เช่นนั้น จึงรีบกราบถวายบังคมท้าวเธอ พลางทูลถามด้วยวาจาที่อ่อนหวานว่า “ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้า พระองค์ผู้เป็นเจ้าเหนือหัวของชาววิเทหรัฐ พระองค์จะทรงพาหม่อมฉันไปไหนหรือเพคะ”

        ท้าวเธอจึงตรัสถามนางด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยนว่า “ก็เธอบอกว่าถูกสามีทอดทิ้งเธอไปแล้วมิใช่หรือ” 
 
        “จริงอย่างนั้น เพคะ”
 
        “ถ้าเช่นนั้น เราก็จะรับเธอเข้าไปอยู่ในพระราชวัง แล้วอภิเษกเธอให้เป็นอัครมเหสีของเราน่ะสิ เธอจะพอใจไหมเล่า” 

        “เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่หม่อมฉันอย่างหาที่เปรียบมิได้แล้ว เพคะ”  จากนั้น พระเจ้าวิเทหราชจึงทรงพานางเข้าสู่พระราชนิเวศน์ แล้วทรงอภิเษกนางไว้ในตำแหน่งพระอัครมเหสี ด้วยเหตุที่พระเจ้าวิเทหราชทรงได้นางมาจากต้นมะเดื่อ ชนทั้งหลายจึงเรียกพระนางว่า “อุทุมพรเทวี”

        เราจะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต บางครั้งอาจเป็นจุดหักเหนำเราให้พบกับโชคดีก็เป็นได้ ดังนั้น คราวใดที่เราประสบทุกข์ภัย จึงไม่ควรตีโพยตีพายทำใจให้เศร้าหมอง เพราะจะทำให้ทุกข์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่ควรนึกถึงพระรัตนตรัย นึกถึงบุญที่เราเคยทำผ่านมา ไม่ช้าเรื่องร้ายๆ นั้นก็จะผ่านไป แต่ในทางตรงกันข้าม เหตุการณ์ที่ดีก็อาจมีร้ายปนอยู่ เพราะชีวิตในพระราชวังไม่ใช่เรื่องง่าย พระนางอุทุมพรเทวีจะทรงเป็นอยู่อย่างไรในพระราชวัง โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์  (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 51ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 51

ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 52ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 52

ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 53ทศชาติชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 53



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก