ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 130


[ 28 ก.ย. 2551 ] - [ 18268 ] LINE it!

ทศชาติชาดก
เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี
ตอนที่ 130
 
 
    จากตอนที่แล้ว ฝ่ายพระเจ้าจุลนีพร้อมด้วยพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระองค์ ทอดพระเนตรเห็นว่า พราหมณ์เกวัฏยอมไหว้มโหสถจริงๆ ก็เท่ากับว่ากองทัพปัญจาลนครเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ต่างก็ทรงกลัวว่า มโหสถบัณฑิตคงจะไม่ยอมไว้ชีวิตพระองค์เป็นแน่
 
    ครั้นแล้วจึงต่างรีบเสด็จขึ้นม้าพระที่นั่ง หนีเอาตัวรอดทันที กระบวนทัพใหญ่จึงเกิดการชุลมุนวุ่นวาย หนีกระเจิงกันไปจนคุมทัพไม่อยู่ ต่างคนต่างหนีเอาตัวรอดแบบไม่คิดชีวิต มโหสถบัณฑิตเมื่อได้รับชัยชนะอย่างงดงามในสนามธรรมยุทธ์แล้ว ก็นำขบวนทัพกลับเข้าสู่พระนคร โดยมิได้ติดตามกองทัพของพระเจ้าจุลนีไปแต่อย่างใด
 
    ฝ่ายพราหมณ์เกวัฏก็รีบควบม้าหนีไปโดยเร็วทันที เห็นแต่เพียงพลราบที่วิ่งเตลิดเปิดเปิงอยู่ด้านหน้า จึงควบม้าตามไปทันพลางร้องตะโกนว่า “ข้าพเจ้ามิได้ไหว้มโหสถดอก พวกท่านอย่าได้หนีไปเลย” ไม่ว่าเกวัฏจะตะโกนป่าวร้องอย่างไร แต่ความพยายามนั้นก็กลับไร้ผล ไม่มีใครสนใจคำร้องของพราหมณ์เกวัฏเลย มิหนำซ้ำยังตะโกนด่าทอเกวัฏโดยไม่มีความยำเกรง
 
    เมื่อเห็นอาการไม่สู้ดี จึงคิดว่า “เราจะต้องติดตามเจ้าเหนือหัวไปให้ทัน แล้วกราบทูลอธิบายให้พระองค์ทรงทราบเรื่องราวทั้งหมด เมื่อนั้นแหละ พระองค์ก็จะทรงมีพระบรมราชโองการประกาศให้ทุกคนถือปฏิบัติตาม” คิดดังนี้แล้ว พราหมณ์เกวัฏก็รีบควบม้าเร่งตามไป มุ่งหมายประการเดียวเท่านั้นคือจะต้องตามเสด็จพระเจ้าจุลนีให้ทัน
 
    ขณะนั้นพระเจ้าจุลนีเสด็จทรงม้าพระที่นั่ง ควบมาด้วยฝีเท้าอันรวดเร็ว ล่วงหน้าพระราชาองค์อื่นๆ จนไม่มีผู้ใดตามทัน ครั้นพระองค์ทรงเห็นว่าเสด็จมาไกล พ้นเขตสมรภูมิแล้ว ก็ค่อยเบาพระหฤทัย จึงทรงรั้งม้าพระที่นั่งให้ชะลอฝีเท้าลง รอจนขบวนม้าพระที่นั่งของพระราชาทั้งร้อยเอ็ดพระองค์เสด็จมาทัน จากนั้นจึงเสด็จพระราชดำเนินต่อไปตามปกติ
 
    ฝ่ายพราหมณ์เกวัฏเร่งควบม้าอย่างไม่คิดชีวิต แม้ว่าจะเหนื่อยล้าจนแทบจะทรงกายอยู่บนหลังม้าไม่ไหว แต่ก็สู้สะกดกลั้นความอ่อนระโหยนั้นไว้ จนกระทั่งสามารถฝ่าเหล่าแสนยากรทัพใหญ่เข้าไปใกล้พระเจ้าจุลนีได้สำเร็จ ครั้นเลียบม้าของตนเข้าประชิดพระเจ้าจุลนีแล้ว จึงถือโอกาสกราบบังคมทูลว่า “ขอเดชะ พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของข้าพระบาท ขอพระองค์ได้โปรดสดับคำทูลของข้าพระพุทธเจ้าก่อนเถิด พระพุทธเจ้าข้า”
 
    พระเจ้าจุลนีทรงทอดพระเนตรพราหมณ์เกวัฏ ซึ่งบัดนี้ใบหน้าและเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยเลือด เหงื่อเม็ดโตผุดไหลโทรมกายอยู่ สีหน้าบ่งบอกว่าเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส พระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรพราหมณ์เกวัฏในสภาพลำบากเช่นนั้น ก็ทรงหวนรำลึกถึงคุณความดีของพราหมณ์เกวัฏ ที่ได้เคยรับใช้ใกล้ชิดพระองค์มาโดยตลอด พระองค์จึงทรงรั้งม้าให้หยุด ซึ่งพระราชาทั้งร้อยเอ็ดก็ทรงหยุดตาม
 
    แล้วมีพระราชดำรัสถามพราหมณ์เกวัฏว่า “ท่านอาจารย์ได้ยืนยันกับเรามิใช่หรือว่า มโหสถจักเป็นผู้ปราชัยในเลศธรรมยุทธ์ครั้งนี้ มโหสถจะต้องไหว้ท่านผู้ทรงด้วยวัยวุฒิตามจารีตประเพณีก่อนมิใช่หรือ แต่ครั้นเอาเข้าจริงๆ ไฉนท่านจึงยอมไหว้มโหสถเสียเล่า ท่านทำเช่นนี้ แล้วจะให้เราคิดว่าอย่างไร ท่านเองก็ทราบดีมิใช่หรือว่า ความปราชัยของท่านก็คือความปราชัยของกองทัพปัญจาละทั้งหมด”
 
“ขอเดชะ ความจริงแล้ว ข้าพระองค์มิได้ไหว้มโหสถ พระพุทธเจ้าข้า” พราหมณ์เกวัฏรีบทูลชี้แจง
“อย่างไรกันท่านอาจารย์ ก็เราเห็นกับตาว่าท่านก้มลงกราบแทบเท้ามโหสถ แม้พระราชาทั้งหมดต่างก็ได้เห็นเป็นประจักษ์พยานเช่นเดียวกับเรา แล้วท่านยังจะกล่าวว่าไม่ได้ไหว้มโหสถอีกหรือ” พระองค์ทรงยืนยัน
“หามิได้พระพุทธเจ้าข้า ขอใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท โปรดทรงพิจารณาเรื่องนี้ให้ถ่องแท้ก่อนเถิด พระพุทธเจ้าข้า” พราหมณ์เกวัฏกราบทูลวิงวอน
“แต่ท่านอาจารย์” พระองค์ทรงค้าน “ถ้าอย่างนั้น ไหนท่านจงบอกเราทีซิว่า สิ่งที่เราเห็นนั้นมันคืออะไรกัน” พระเจ้าจุลนีทรงซักถามด้วยทรงฉงนพระทัย และดูเหมือนพระองค์ก็ยังไม่ทรงแน่พระทัยเท่าใดนักในสิ่งที่ทรงเห็น
“ขอเดชะ ข้าพระองค์กล้ายืนยันว่า ไม่ได้ไหว้มโหสถจริงๆ พระพุทธเจ้าข้า” พราหมณ์เกวัฏยืนยันหนักแน่น
 
    ครั้นแล้วจึงย้อนเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า “ข้าพระองค์ถูกมโหสถลวงว่า จะให้แก้วมณี แต่พอถึงคราวจะให้จริงๆ มโหสถก็แกล้งทำแก้วมณีตกลงสู่พื้น ข้าพระองค์จึงตัดสินใจก้มลงเก็บ ในระหว่างนั้นมโหสถก็ถือโอกาสข่มขี่ข้าพระองค์ตามใจชอบ ทำให้ใครๆที่ได้เห็น ต่างก็เข้าใจผิดว่าข้าพระองค์เป็นฝ่ายไหว้ตน”
 
    พราหมณ์เกวัฏระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นทีไร เลือดร้อนก็สูบฉีดขึ้นหน้า สีหน้าเปลี่ยนจากระโหยโรยแรง กลับกลายเป็นขุ่นเคืองแค้นใจอย่างเห็นได้ชัด
 
“พระองค์ก็ย่อมทราบอัธยาศัยของข้าพระองค์ดีว่า มีความมั่นคงหนักแน่นเพียงไร มีหรือที่ข้าพระองค์จะทำกระทำสิ่งใดโดยไร้เหตุผล คนอย่างข้าพระพุทธเจ้า ที่ไหนจะยอมน้อมตนลงไหว้มโหสถ อย่าว่าแต่จะกระทำเลย แม้เพียงแค่จะคิด ก็มิได้เคยเลยสักครั้งเดียว พระพุทธเจ้าข้า ข้าพเจ้าคิดแล้วก็ยังแค้นใจไม่หาย ขอพระองค์ทรงอย่าได้ทรงเชื่อศัตรูเป็นอันขาด การฟังเสียงศัตรูรังแต่จะก่อให้เกิดโทษสถานเดียว ทางที่ดีเราควรกลับไปรวมตัวกันเช่นเดิม แล้วคิดหาวิธีถล่มมิถิลานครให้สิ้นซากเถิด พระพุทธเจ้าข้า”
 
    พระเจ้าจุลนีได้ทรงสดับเหตุผลนั้นแล้ว ก็ทรงบังเกิดความเชื่อมั่นในพราหมณ์เกวัฏดังเดิม และเมื่อทรงเข้าพระทัยเรื่องราวทั้งหมดแล้ว พระองค์จึงรับสั่งกับพราหมณ์เกวัฏว่า “ท่านอาจารย์ บัดนี้เราเชื่อท่านแล้ว นี่ถ้าท่านไม่แถลงความจริงให้ทราบ มีหวังทัพฝ่ายเรา คงต้องหนีหัวซุกหัวซุนกลับปัญจาลนครไปอย่างไม่เป็นท่าเป็นแน่”
 
    ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงมีพระบรมราชโองการ ประกาศให้เหล่าแม่ทัพนายกองทุกหมู่เหล่า ตลอดจนพลรบทุกหมวดกอง ที่บัดนี้กำลังอยู่ในภาวะระส่ำระสาย ให้ได้รับทราบโดยทั่วกันว่า กองทัพปัญจาลนครจะกลับเข้าประจำที่ดังเดิม และจะเข้าล้อมมิถิลานครไปจนกว่าจะมีคำสั่งต่อไป
 
    เมื่อความแค้นที่ทับทวีฝังอัดแน่นอยู่ในใจของพราหมณ์เกวัฏจนแทบระเบิด ที่โดนมโหสถฉีกหน้าท่ามกลางสนามรบอย่างไม่เหลือชิ้นดีนั้น จะทำให้พราหมณ์เกวัฏมีวิธีใดที่จะถล่มมิถิลานครให้ราบเป็นหน้ากลอง โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 131ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 131

ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 132ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 132

ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 133ทศชาติชาดก เรื่อง มโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ตอนที่ 133



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ทศชาติชาดก