ฉันจะเป็นแสงสว่างให้กับเธอ


[ 29 ธ.ค. 2548 ] - [ 18276 ] LINE it!
View this page in: 中文

 
CASE STUDY
ฉันจะเป็นแสงสว่างให้กับเธอ,
เมื่อภิกษุณีสอนในคุก
เรียบเรียง จากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ทาง DMC
 
 
 
กราบนมัสการคุณครูไม่ใหญ่ที่เคารพอย่างสูงเจ้าค่ะ     
 
    ข้าพเจ้าเป็นภิกษุณีในพุทธศาสนานิกายมหายาน อยู่ที่ประเทศไต้หวัน บวชได้เกือบ 30 พรรษาแล้ว    ปัจจุบันเป็นสมาชิกของ ยพสล. (องค์การยุวพุทธิกสมาคม แห่งไต้หวัน) ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนธรรมะให้กับนักโทษในคุกที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน มาเป็นเวลากว่า  20 ปีแล้ว นักโทษที่ข้าพเจ้าเทศน์สอนล้วนเป็นนักโทษ “เดนตาย” ทั้งสิ้น     ข้าพเจ้ามีเรื่องราวชีวิตมาเล่าให้คุณครูไม่ใหญ่ฟัง ดังนี้ค่ะ  
 
    โยมพ่อของข้าพเจ้า เมื่อก่อนไม่ได้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเลย แต่ก็ไม่ได้คัดค้านในการที่ข้าพเจ้ามาบวชเป็นภิกษุณี แต่ต่อมาเมื่อท่านล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็งที่ตับ จึงได้หันมาสนใจพระพุทธ ศาสนาได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยเป็นประจำ เพราะชาวจีนถือ เอาการสวดมนต์คือการปฏิบัติธรรม คืนก่อนที่โยมพ่อจะละโลก ได้มีลูกศิษย์ของข้าพเจ้าจำนวนมากมาช่วยกันสวดมนต์ให้ที่บ้านตลอด ทั้งคืน เพื่อให้ท่านได้ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย แล้วท่านก็ละโลกไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2548
 
    โยมแม่ ท่านเป็นชาวพุทธที่เคร่งในพุทธศาสนา ได้ ถือศีลกินเจมาเป็นเวลาหลายสิบปีและได้รับศีลพระโพธิสัตว์ มีความปรารถนาที่จะสร้างบารมีเพื่อบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้า ปัจจุบันท่าน มีอายุ
74 ปี สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง และอาเจียนออกมาเป็นเลือดบ่อยๆ
 
    ข้าพเจ้าเอง เป็นชาวไทเปมาตั้งแต่กำเนิด มีพี่น้องด้วยกันสามคนเป็นหญิงล้วน ข้าพเจ้าเป็นน้องคนสุดท้อง พี่สาวคนโต เสียชีวิตแล้ว ส่วนพี่สาวคนรอง ปัจจุบันยังไม่แต่งงาน อายุ 54 ปี ได้ช่วยโยมแม่เลี้ยงหลานชายซึ่งเป็นลูกชายของพี่สาวคนโต ข้าพเจ้ามีความสนใจพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก เพราะคุณแม่มักจะพาไปทำบุญและฟังธรรมที่วัดอยู่เสมอๆ ได้ศึกษาพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ตอนนั้น คำสอนของพระพุทธองค์เปรียบดั่งประทีปธรรมที่สว่างไสว ทำให้ฉันได้เติบใหญ่  เมื่อจบการศึกษาระดับปริญญาตรีคณะปรัชญาจาก มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศแล้ว ก็ได้เข้าอบรมปฏิบัติธรรม เพื่อเตรียมตัวบวชเป็นภิกษุณีในพุทธศาสนานิกายมหายาน แล้วก็ได้บวชในเวลาต่อมา ขณะนั้นอายุประมาณ  24 ปี  
    ทันทีที่บวชเสร็จ ข้าพเจ้าก็เริ่มเผยแผ่พระศาสนาทันที โดยเริ่มจากงานเทศน์สอนเยาวชนก่อน   ทำงานนี้อยู่ได้ระยะหนึ่ง ก็ได้รับนิมนต์จากทางรัฐบาลให้ไปเทศน์สอนนักโทษในคุก เพราะช่วงนั้นทางรัฐบาลพบว่านักโทษได้ก่อปัญหาขึ้นมากมาย จนทางรัฐบาลไม่ทราบจะแก้ไขปัญหาอย่างไร จึงคิดว่าศาสนาน่าจะแก้ไขปัญหาเหล่า นี้ได้  คุกที่ข้าพเจ้าเข้าไปเทศน์สอนนั้น เป็นคุกใหญ่ที่สุดของประเทศ และนักโทษในคุกนี้ ส่วนใหญ่เป็นนักโทษฉกรรจ์ระดับแนวหน้าของประเทศ มีความผิดร้ายแรงจากข้อหาค้ายาเสพย์ติดและฆ่าคนตาย และมีข้าพเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ทางรัฐบาลอนุญาตให้เข้าไปเทศน์สอนได้ ช่วงแรกที่เข้าไปเทศน์สอนได้มีเสียงคัดค้านมากมายจากคนรอบข้าง แต่ข้าพเจ้ากลับมีความคิดว่า
 
    “บุคคลเหล่านี้เป็นผู้น่าสงสาร เขาทำผิดไปเพราะไม่รู้เรื่อง บุญและบาป ถ้าเขาเหล่านั้นมีโอกาสพ้นโทษ ก็จะออกไปเป็นคนดีของสังคม แต่ถ้าคนใดต้องถูกประหารชีวิต อย่างน้อยเขาก็จะมีบุญกุศลติดตัวไปภายภาคหน้าบ้าง ตัวของข้าพเจ้าเองก็คงจะได้บุญจากการเทศน์สอนนี้ไปด้วย” แล้วก็ก้าวเท้าเข้าไปในคุกเพื่อนำประทีปธรรมไปส่องใจให้แก่นักโทษเหล่านั้น ให้ได้พบกับแสงแห่งพระธรรม แม้ว่าจะต้องเข้าไปเพียงคนเดียวก็ตาม  โดยในหนึ่งสัปดาห์จะเทศน์สอนนักโทษชาย 3 วัน นักโทษหญิง 1 วัน เรื่องที่ใช้เทศน์ก็เป็นเรื่อง กฏแห่งกรรม การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว รวมไปถึงการนำธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย
 
    พอเข้าไปภายในกำแพงสูง ภาพที่ได้เห็น คือ เหล่านักโทษซึ่งถูกล่ามข้อเท้าด้วยโซ่และลูกตุ้มเหล็กอันหนักอึ้ง เดินออกมาสวดมนต์ ฟังเทศน์และนั่งสมาธิกันอย่างพร้อมเพรียง เป็นภาพที่ประทับใจ และสร้างแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้ามุมานะทำงานนี้อย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งพอทราบจากทางรัฐบาลว่า นักโทษที่ผ่านการเทศน์สอนจากข้าพเจ้ามีพฤติกรรมก้าวร้าวลดลง ยอมรับและให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฏระเบียบของทางเรือนจำมากขึ้น มีนักโทษส่วนใหญ่ เปลี่ยนจากผู้ที่ไม่มีศาสนา มานับถือพระพุทธ ศาสนา ทั้งยังได้สวดมนต์ทำวัตรเช้า เย็นอย่างสม่ำเสมอ ใช้เวลาว่างในคุกอ่านพระไตรปิฏก  และคัดลอกพระไตรปิฏกอีกด้วย
 
    เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ชื่อของข้าพเจ้าปรากฏไปทั่ว คือ ได้มีนักโทษฉกรรจ์ที่เคยสร้างความสะเทือนขวัญ ให้กับชาวไต้หวันทั้งประเทศคนหนึ่ง เขาเป็นนักโทษชายวัยรุ่น แซ่หลิน ติดยาเสพย์ติดแล้วฆ่าพ่อแม่นำทรัพย์สมบัติไปขายเพื่อซื้อยามาเสพย์ ตามคำแนะ นำของเพื่อนในแก๊ง ขณะเขาอยู่ในคุกได้มีโอกาสฟังธรรมและปฏิบัติธรรม ทำให้รู้เรื่องบุญและบาป จึงหันมานับถือพระพุทธ ศาสนาและปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ เขาเหมือนได้พบกับชีวิตใหม่ แม้มันจะมีเวลาสั้นนิดเดียวก็ตาม ก่อนวันที่จะถูกประหารชีวิตเขาได้เขียนจดหมายมาถึงข้าพเจ้า ด้วยข้อความว่า “เขารู้สึกผิดที่ได้ทำอนันตริยกรรม แต่ก็รู้สึกดีใจที่มีโอกาสมารู้จักกับพระพุทธ ศาสนาจากการสอนของข้าพเจ้า” แล้วเขายังตั้งใจวาดภาพเจ้าแม่กวนอิมเพื่อมอบให้ข้าพเจ้าอีกด้วย เขาพูดถึงข้าพเจ้าว่า เปรียบ เสมือนเจ้าแม่กวนอิม ที่ได้มาช่วยให้เขาได้พบกับพระพุทธศาสนา จดหมายฉบับนี้เอง ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจหยัดสู้ เผยแผ่พระพุทธ ศาสนาต่อไป จนเรื่องดังไปถึงหนังสือพิมพ์ ได้นำเรื่องของข้าพเจ้าไปตีแผ่และพาดหัวข่าวว่า
 
    “เจียนอวี่ปู๋ค่ง  เมี่ยวหุ้ยฝ่าซือ  ซื่อปู้เฉิงฝ๋อ แปลความว่า ถ้าคุกยังไม่ร้างภิกษุณีเมี่ยวหุ้ยจะไม่ยอมเข้านิพพาน เพื่อเป็นพระพุทธเจ้า”
 
    ปกติข้าพเจ้าเป็นคนชอบนั่งสมาธิ และปรารถนามานานที่จะได้เรียนรู้พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทโดยเฉพาะที่ประเทศไทย เพราะ มีความคล้ายคลึงกับพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาลมาก และ ข้าพเจ้ายังเคยตัดภาพภาพหนึ่ง ที่มีพระภิกษุเถรวาทจำนวนมากนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิโดยมีพระพุทธรูปนั่งเป็นประธาน มาจากหนัง สือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ใส่กรอบวางไว้ในห้องพระและกราบไหว้ทุกวัน พร้อมกับอธิษฐานว่า  “สักวันหนึ่ง ขอให้ได้รู้จักกับพระภิกษุเถรวาท  และได้มีโอกาสนิมนต์ท่านมาเป็นเนื้อนาบุญด้วยเถิด”     
 
    13 ปีผ่านไป ข้าพเจ้า ก็ได้ทราบจากเลขาฯ ของ ยพสล.  ว่าที่เมืองไทเปนี้ ได้มีพระเถรวาทจากวัดพระธรรมกายมาเผยแผ่ศาสนาและสอนสมาธิอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมไทเป  พอได้ยินเท่านั้น ข้าพเจ้าเกิดความปีติจนขนลุกไปทั้งตัวเพราะนึกไม่ถึงว่าคำอธิฐานที่ข้าพเจ้าทำทุกวันตลอด 13 ปี จะเป็นจริงได้ อีกทั้งยังทราบในเวลาต่อมาว่า รูปภาพที่ตัดมาจากหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเป็นภาพของพระภิกษุสงฆ์ของวัดพระธรรมกายนี่เอง ข้าพเจ้าจึงไม่รีรอให้เวลามันสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ รีบไปนิมนต์พระอาจารย์จากศูนย์ฯไทเป มาถวายสังฆทานที่วัดของข้าพเจ้าทันที
 
    ณ เวลานี้แม้ข้าพเจ้าจะต้องทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาคนเดียวในคุก ก็ไม่เคยย่อท้อ และคิดจะทำต่อไปตราบชีวิตจะหาไม่  และตั้งใจไว้ว่าจะหาโอกาสไปวัดพระธรรมกายเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม และเพื่อได้กราบนมัสการคุณครูไม่ใหญ่สักครั้งในชีวิต
 
    หลานชาย ของข้าพเจ้าเป็นลูกของโยมพี่สาวคนโต  ปัจจุบันอายุ 26 ปี เขากำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก พ่อของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งที่จมูก เมื่อปี พ.ศ. 2540  แม่ของเขาก็เสียชีวิตด้วยโรค มะเร็งที่หน้าอก เมื่อ พ.ศ. 2541  หลานชายคนนี้จึงได้มาอยู่ในความดูแลของโยมพี่สาวคนรองและโยมแม่ของข้าพเจ้า ตั้งแต่เล็กจนโต เขามีนิสัยโมโหร้าย เจ้าโทสะ เวลาโกรธมักทำร้ายข้าวของ  เขาไม่เคยสนใจพระพุทธศาสนา แต่หลังจากที่เขากลับมาจากเกณฑ์ทหารแล้วก็บ่นว่าปวดหัวและเป็นลมบ่อย ๆ เมื่อพาไปให้แพทย์ตรวจ ก็พบว่ามีเนื้องอกในสมอง หมอจึงนัดผ่าตัดสมองโดยด่วน  ก่อนผ่าตัดหมอบอกได้แต่เพียงว่า ไม่รับรองผลของการผ่าตัด เขาอาจมีอาการดีขึ้นหรืออาจเสียชีวิตไปเลยก็ได้ หากรอดตายก็อาจต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทรา    ข้าพเจ้าจึงทำบุญสร้างองค์พระสามแสนปลื้มและบุญปล่อยปลาให้กับหลานชาย หลังผ่าตัดผลออกมาว่า เขารอดชีวิตและไม่ต้องเป็นเจ้าชายนิทรา แต่ระบบการทรงตัวเสียไป ไม่สามารถเดินทรงตัวอยู่ได้เหมือนคนปกติ ช่วยเหลือตนเองไม่ได้เลย  ต้องให้โยมแม่และโยมพี่สาวคอยดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำให้ตลอดมา  ต่อมาหมอก็ตรวจพบอีกว่าเขายังมีก้อนเนื้องอกอีกสองชิ้นฝังอยู่ในส่วนลึกของสมอง ครั้งนี้ทางคณะแพทย์ก็ลังเลว่าจะผ่าตัดดีหรือไม่ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจผ่าตัดอีกครั้ง หลังการผ่าตัดผลออกมาว่า ตาเขาบอดไปข้างหนึ่ง แขนและขาใช้การไม่ได้ ปัจจุบันยังอยู่ในโรงพยาบาล ต้องรักษาด้วยกายภาพบำบัดเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งปี
 
คำถาม
 
1.    โยมพ่อตายแล้วไปอยู่ภพภูมิใด ข้าพเจ้าสร้างพระจารึกชื่อของท่านไปให้  ท่านได้รับบุญนี้หรือไม่ บุญจากการสร้างพระจะช่วยให้ท่านมีความเป็นอยู่ดีขึ้นหรือไม่ อย่างไรเจ้าคะ
 
2.    โยมแม่และโยมพี่สาวคนรอง เคยมีบุพกรรมร่วมกับหลานชายมาอย่างไร  จึงต้องมาคอยเลี้ยงดูเขาอย่างกับลูกแท้ๆ ทั้งยังต้องมารองรับอารมณ์ของหลานที่เป็นคนเจ้าโทสะ
 
3.    บุญจากการสร้างพระที่ข้าพเจ้าทำให้โยมแม่และพี่สาวคนรองซึ่งยังมีชีวิตอยู่ จะไปช่วยท่านได้อย่างไรบ้าง
 
4.    เพราะกรรมใดสุขภาพของโยมแม่จึงไม่แข็งแรงอาเจียนเป็นเลือดบ่อยๆ   ทั้งๆ ที่ท่านมีจิตใจงดงาม  ถือศีลกินเจตลอด ท่านจะหายหรือไม่ ทำอย่างไร จึงจะกลับมาแข็งแรงอีก
 
5.    พี่สาวคนโตและสามี ทำกรรมเหมือนและต่างกันมาอย่างไร จึงต้องมาตายด้วยโรคมะเร็งเหมือนๆกันแต่คนละตำแหน่งกัน   ปัจจุบันทั้งคู่ อยู่ภพภูมิใด ได้รับบุญที่อุทิศไปหรือไม่
 
6.    โรคมะเร็งในทรรศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันวิทยา ต่างจากทรรศนะทางการแพทย์อย่างไร  มะเร็งเกิดจากกรรมอะไร สามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้หรือไม่ และสามารถป้องกันหรือแก้ไขให้หายได้หรือไม่ อย่างไร
 
7.    บุพกรรมใดข้าพเจ้าจึงต้องไปเทศน์สอนนักโทษในคุก การเทศนาสอนนักโทษได้บุญหรือบาปอย่างไร หากได้บุญทำอย่างไรจะได้อย่างเต็มที่ และข้าพเจ้าควรเทศน์สอนในคุกต่อไปดีหรือไม่ หรือควรทำหน้าที่ใด จึงจะเหมาะสมหากเลิกจากหน้าที่นี้
 
8.    อาการป่วยหลานชายที่เป็นเนื้องอกในสมอง เป็นเพราะกรรมใด มีทางหายเป็นปกติหรือไม่  ต้องแก้ไขและทำบุญอย่างไร บุญจากการสร้างพระ ช่วยให้เขาดีขึ้นหรือไม่อย่างไรเจ้าคะ
 
9.    ข้าพเจ้าและครอบครัว  เคยสร้างบารมีกับหมู่คณะมาก่อนหรือไม่ อย่างไร  ทำไมข้าพเจ้าจึงต้องมาเป็นภิกษุณี ที่มีโอกาสได้มาพบพุทธศาสนา แต่ต่างนิกายกันกับหมู่คณะเจ้าค่ะ

   
ฝันในฝัน

หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ  ตื่นขึ้นมา หาว 1 ที
แล้วก็นำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากันนะจ๊ะ

1.    โยมพ่อตายแล้วก็ไปเป็น “อากาสเทวา” มีวิมานเป็นเงินในช่วงแรก     คล้ายสถาปัตยกรรมจีนนิดหนึ่งตามความคุ้นตอนเป็นมนุษย์  ,  อากาสเทวาจะมีวิมานพ้นจากโลกมนุษย์ 1 โยชน์  , 
 
 
  • ท่านไปเป็นอากาสเทวา   เพราะจิตที่ผ่องใสในช่วงท้ายของชีวิตที่ได้มาสวดมนต์และระลึกนึกถึงคุณของพระรัตนตรัย     แม้ว่าจะไม่ได้ทำทาน , รักษาศีล  หรือเจริญภาวนาก็ตาม     แต่ช่วงสุดท้ายตอนป่วย ก็สวดมนต์ด้วยจิตที่เลื่อมใสจ่ะ ! 
 
  • ได้รับบุญที่สร้างพระจารึกชื่อท่านแล้ว ก็ยิ่งทำให้ท่านมี  ทิพยสมบัติมากขึ้น เช่น วิมานแต่เดิม เป็นเงินก็เปลี่ยนไปเป็นเงินปนทอง , และมีอาหารทิพย์เพิ่มขึ้น     แต่ไม่มีบริวาร   เพราะไม่ได้อยู่บนสวรรค์และไม่มีบุญที่ไปชวนคนทำความดีด้วย   เป็นต้นจ่ะ !
 

2.    โยมแม่และโยมพี่สาวคนรอง   ต้องมาคอยเลี้ยงดูหลานชายยังกะลูกชายแท้ ๆ   ทั้งยังต้องมารองรับความเป็นคนเจ้าโทสะของหลาน   เพราะ  --- ในอดีตชาติ ๆ หนึ่ง   หลานชายคนนี้เป็นลูกชายของโยมแม่และเป็นน้องชายของพี่สาวคนรอง  , 
 
 
 
  • โดยหลานชายคนนี้หรือน้องชายพี่สาวคนรองในชาตินั้น     ได้มีอาชีพเป็น “นักเลงรับจ้าง” ทวงหนี้  ,  ทำร้ายคน     เมื่อได้เงินมาก็มาดูแลแม่และพี่สาว     ซึ่งแม่และพี่สาวก็รู้ว่าลูกชายได้ทำอาชีพนี้   แต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม   เพราะเป็นทางมาแห่งรายได้     จึงเสมือนสนับสนุนทางอ้อม  ,  วิบากกรรมนี้จึงมาส่งผลให้มาเลี้ยงดูและรองรับอารมณ์จากหลานชายจ่ะ !
 
 
 
3.    บุญจากการสร้างพระให้โยมแม่และโยมพี่สาวคนรอง   ทั้ง ๆ ที่ท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่   ก็จะช่วยตัดรอนวิบากกรรมดังกล่าวไปบ้าง    
 
 
 
  • แต่ต้องสร้างให้หลานชายด้วย   เพราะหลานชายมีวิบากกรรมเยอะ     อีกทั้งเพิ่งพ้นจาก “ยมโลก”   เพราะวิบากกรรมดังกล่าว   และเพิ่งจะมาเกิดเป็นมนุษย์     จึงทำให้ติดนิสัยเจ้าโทสะ เพราะถูกทรมานมาจ่ะ !    
 
 
 
  • แต่ถ้าผ่านขั้นตอนจากยมโลกมาเป็นเปรต , อสูรกาย , สัตว์เดรัจฉาน    ก็จะทำให้นิสัยเจ้าโทสะผ่อนคลายตัวลงมามากกว่านี้  ,  และไม่รุนแรงเท่าข้ามขั้นตอนมาเกิดเป็นมนุษย์จ่ะ !     ให้ทำใจเฉย ๆ เวลาที่เขาเกรี้ยวกราดจ่ะ !

 

4.    สุขภาพของโยมแม่ไม่แข็งแรง   ต้องอาเจียนเป็นเลือด บ่อย ๆ    ทั้ง ๆ ที่ท่านก็มีจิตใจงดงาม   ถือศีลกินเจตลอด   เพราะ ---กรรมในอดีต   ท่านเกิดในสังคมเกษตรกรรม     ท่านได้ฆ่าสัตว์ทำอาหารเป็นประจำมาส่งผลจ่ะ !     ไม่ได้เป็นกรรมปัจจุบัน  , 
 
 
 
  • ถ้าท่านไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องของหลานชายมากเกินไป     และหมั่นถือศีลกินเจดังเดิมจนกระทั่งจิตใจท่านสบายจริง ๆ     ก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายได้จ่ะ !

 
5.    “พี่สาวคนโต” และสามี   ต้องมาตายด้วย “โรคมะเร็ง”เหมือนกันแต่คนละ “ตำแหน่ง”   เพราะ  --- กรรมปาณาติบาตและกรรมกาเมเจ้าชู้ในอดีตของพี่สาวคนโตมารวมส่งผลจ่ะ !     โดยพี่สาวคนโตได้ฆ่าสัตว์ต่างกรรมต่างวาระ   และเจ้าชู้ในชาติที่เป็นหญิงและผู้ชายหลาย ๆ ชาติมารวมส่งผลจ่ะ !
 
 
 
  • สามีมีกรรมฆ่าสัตว์ทำอาหาร , ฆ่าขาย   และทำร้ายคนในอดีตหลายชาติ  เช่น  ชาติหนึ่งทะเลาะกับเพื่อนบ้าน  จนทำร้ายเพื่อนบ้านด้วยท่อนไม้   จนทำให้จมูกเขาบาดเจ็บอย่างรุนแรง   วิบากกรรมนี้เป็นกรรมนำแล้วกรรมปาณาติบาตอื่น ๆ มาเสริม     จึงทำให้เป็นมะเร็งในโพรงจมูกจ่ะ !
 
 
 
  • ตายแล้วพี่สาวคนโตและสามี   ก็ไปเป็น “ภุมมเทวา” ระดับทั่วไปในหมู่บ้านภุมมเทวาแห่งหนึ่ง     --- ต่อมาก็ได้รับบุญที่อุทิศไปให้   ก็ทำให้มีสภาพดีขึ้นในทุกด้าน  ทั้งอาหาร  ,  ที่อยู่อาศัย , เสื้อผ้า   เป็นต้น  โดยมีบ้านติดกันจ่ะ !

 
 
6.    โรคมะเร็ง   ในทัศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา “ต่างจาก” โรคมะเร็งในทัศนะของแพทย์  --- คือ  ในทัศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา     โรคนี้เกิดจากวิบากรรม   เป็นกรรมเฉพาะตัว     ใครจะมารับกรรมแทนเราไม่ได้  ,  แต่ถ้าพ่อ - แม่ มีกรรมเสมอกับลูก   ก็จะดึงดูดให้ลูกมีวิบากกรรมชนิดนี้มาเกิดร่วมด้วย     แต่ไม่ใช่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมจ่ะ !    
 
 
 
  • มะเร็งเกิดจากวิบากกรรมหลาย ๆ อย่าง  เช่น  เกิดจากกรรมปาณาติบาต “เป็นหลัก” แล้วมีกรรมอื่นมาเสริม  เช่น  มะเร็งมดลูก   ก็เกิดจากปาณากับกาเม  ,  มะเร็งในเลือด  ในกระดูก   ก็เกิดจากปาณาติบาตกับ อทินนาทานา  , 
 
 
 
  • มะเร็งที่ลิ้น   ก็เกิดจากกรรมปาณาติบาตกับมุสาบ้าง  ,  ผรุสวาจา  ด่าว่า  คำหยาบบ้าง    --- มะเร็งที่ตับ   ก็เกิดจากปาณาติบาตกับสุรา   เป็นต้นจ่ะ !    
 
 
 
  • จะแก้ไขได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับกรรมหนักหรือเบา   มีบุญมากหรือน้อย   ทั้งอดีตและปัจจุบัน   เรื่องมันซับซ้อนจ่ะ !   --- ดังนั้นดีที่สุด  คือ  ป้องกันด้วยการรักษาศีล  5  ให้บริสุทธิ์จ่ะ !

 
 
7.    ท่านภิกษุณีต้องเข้าไปเทศน์สอนในคุก   เพราะ  --- มีอุปนิสัยพระโพธิสัตว์ติดมาข้ามชาติ   ที่ปรารถนาจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายจ่ะ !     ไม่ได้มีวิบากกรรมอะไรติดตัวมา     แต่เป็นการสร้างบารมีในปัจจุบันที่ต้องการให้ “ธรรมทาน” จ่ะ !
 
 
 
  • การเทศน์สอนนักโทษในคุกจะมีอานิสงส์โดยย่อ  คือ  จะมีดวงปัญญารอบรู้ทั้งทางโลก - ทางธรรม  ,  เกิดในที่ใดก็จะไม่มีศัตรู  , จะเป็นที่รักของทุกคน  ,  จะได้เกิดในตระกูลสัมมาทิฐิที่จะเกื้อหนุนให้ได้สร้างความดี  ,  จะมีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว   เป็นต้นจ่ะ !     
 
 
 
  • ท่านภิกษุณีควรจะทำหน้าที่  2  ประการ  คือ  1. “ป้องกันคนดีอย่าให้เสีย”  เช่น  แนะนำสั่งสอนให้คนรู้บาป - บุญคุณโทษจนไม่ไปประพฤติผิดทางศีล - ธรรมและกฎหมาย    ก็จะทำให้นรกและคุกร้างจ่ะ !    
 
 
 
  • 2. แก้ไขคนที่เสียแล้วให้ดี  เช่น  สอนคนคุกดังกล่าวเพื่อให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ   จะได้ดำเนินชีวิตได้ถูกต้องไม่ว่าจะอยู่ในคุกหรือพ้นโทษออกมาแล้ว     ส่วนนักโทษประหาร  จิตก็จะได้ผ่องใส   ตายแล้วหนักก็เป็นเบาจ่ะ !

 
 
8.    หลานชายเป็นเนื้องอกในสมอง   เพราะ  --- ชาติในอดีตดังกล่าว   ได้เป็นนักเลงรับจ้างไปทำร้ายคน   เพื่อทวงหนี้หรือลอบทำร้ายตามที่เขาสั่ง  ,  ครั้งหนึ่งได้ไปรับ   ลอบตีศีรษะของคนหลายครั้ง   และทุบตีร่างกาย     กรรมนี้มาส่งผลจ่ะ !
 
 
  • ต้องแก้ไข   ก็ต้องให้หลานชายหมั่นทำทาน  ,  รักษาศีล  ,  ทำภาวนา   ปล่อยสัตว์ปล่อยปลาบ่อย ๆ     แล้วอุทิศส่วนกุศลไปยังผู้ที่เคยไปล่วงเกินมา   หนักก็จะเป็นเบาจ่ะ !    
 
 
  • บุญจากการสร้างพระก็จะช่วยปิดนรกให้กับเขาได้ในชาตินี้   ที่เขาทำกรรมกับคุณยายและน้าเอาไว้จ่ะ !     แต่ยังไม่พอ   ต้องทำบุญอื่นดังกล่าวเสริมจ่ะ !

 
9.    ท่านและครอบครัว   ก็เคยสร้างบารมีกับหมู่คณะมาหลายชาติ     โดยครอบครัวสร้างบารมีแบบ “กองเสบียง”     --- ส่วนท่านสร้างบารมีแบบนักบวช     โดยเป็นพระภิกษุ , แล้วทำหน้าที่ “เผยแผ่”  จ่ะ !    
 
 
 
  • แต่ต่อมาพลัดไปจากหมู่คณะ   เพราะกระทบกระทั่งกับเพื่อนสหธรรมิก     จึงมักจะอยากแยกออกไปจากหมู่คณะ     แต่ก็ไม่ได้ไปจริง     เพียงแต่ชอบบ่นในทุกครั้งที่กระทบกระทั่ง     จึงทำให้ชาตินี้พลัดไปจริง ๆ จ่ะ !
 
 
 
  • ท่านต้องมาเป็นภิกษุณีต่างนิกายในพระพุทธศาสนา   เพราะ  ---ในอดีตท่านก็เคยบวชเป็นพระภิกษุกับหมู่คณะ และได้ทำหน้าที่เผยแผ่ไปยังแดนไกลตั้งแต่ในพุทธันดรที่ผ่านมา     และชอบหน้าที่นี้มาก     ได้อธิษฐานให้ได้เป็นกำลังเผยแผ่พระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย    
 
 
 
  • แต่กรรมกาเมเก่าในหลาย ๆ ชาติมาส่งผล   จึงทำให้มาเป็นหญิง     แต่ก็มีนิสัยนักบวชและเคยผูกพันกับการบวชแบบ    เถรวาทมาจากพุทธันดรที่ผ่านมา   จึงชอบพระแบบเถรวาทในทุกครั้งที่เห็นจ่ะ !
 
 
 
  • ชาตินี้มาเจอกันแล้ว     ก็ให้ตั้งใจสร้างบารมีให้เต็มที่ในทุกบุญ ทั้งทาน  ,  ศีล  ,  ภาวนา   เป็นต้น     แล้วอธิษฐานจิต     ตามติดไปดุสิตบุรีวงบุญพิเศษเขตบรมโพธิสัตว์     อย่าได้พลัดกันเลยจ่ะ !
 
 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
เจ้าเมืองไปเกิดเป็นพญานาคเจ้าเมืองไปเกิดเป็นพญานาค

นักบุญ - นักธุรกิจนักบุญ - นักธุรกิจ

สังขารดับ แต่ใจยังอาวรณ์สังขารดับ แต่ใจยังอาวรณ์



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

กรณีศึกษากฎแห่งกรรม