ความสำคัญของการอธิษฐาน


[ 27 ก.ย. 2553 ] - [ 18264 ] LINE it!

ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 27 กัยนายน พ.ศ.2553
ตอน ความสำคัญของการอธิษฐาน
 
 
ความสำคัญของการอธิษฐาน
พระธรรมเทศนา โดย พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
 
 
        เรื่องที่จะนำมาพูดต่อไปนี้ ขอให้ถือว่าเป็นตัวอย่างจริงๆในชีวิตของคนเรา หรือจะถือว่าเป็นต้นแบบของการสร้างบุญสร้างบารมีเป็นขั้นตอนก็ได้ สืบเนื่องมาจากในขณะนี้มีการบรรพชาอุปสมบท ในโครงการอุปสมบทหมู่เข้าพรรษา หนึ่งแสนรูป ทุกหมู่บ้านทั่วไทย มีวัดที่เข้าร่วมโครงการนี้เต็มแผ่นดินไทย ในระหว่างการอบรมตามวัดต่างๆ พระพี่เลี้ยงได้มีการนำอธิษฐานกันอยู่เป็นประจำ แม้ทางดีเอ็มซี ในเวลาที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่นำพวกเราประกอบบุญต่างๆ ท่านก็นำอธิษฐาน รวมทั้งให้พรด้วย และข้อความที่นำอธิษฐานและคำให้พรของพระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ บางช่วงบางตอนก็เหมือนกัน บางช่วงบางตอนก็คล้ายๆกัน จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า...
 
1.การอธิษฐาน จำเป็นด้วยหรือ
 
2.การให้พร ศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด
 
1.การอธิษฐาน จำเป็นด้วยหรือ
 
        เมื่อตามวัดต่างๆที่มีการอบรม มีคำถามดังที่กล่าวมานี้เป็นประเด็นเกิดขึ้น จึงทำให้หลวงพ่อนึกถึงตัวเองว่า แม้ตัวของหลวงพ่อเอง เมื่อเข้าวัดใหม่ๆในตอนที่ยังไม่ได้บวช ก็มีเรื่องดังกล่าวนี้ค้างคาใจเช่นกัน กล่าวคือ เมื่อเข้าวัดได้ประมาณสักเดือนหนึ่ง หลวงพ่อสังเกตเห็นว่า พี่ๆน้องๆลุงป้าน้าอาที่เขาเข้าวัดกันมาก่อนเรานั้น เวลาเขาทำบุญกันก็เห็นเขาพนมมือนิ่งแถมหลับตาด้วย บางคนก็ทำปากหมุบหมิบ ไม่ทราบว่าเขาว่าอะไร บางคนก็นิ่งๆ บางคนนิ่งอยู่ตั้งนาน ประมาณห้านาทีหรือสิบนาที บางคนก็นิ่งอยู่สักห้าวินาทีสิบวินาที เราก็ไม่ทราบหรอกว่าเขาทำอะไรกัน
 
        หลวงพ่อจึงได้ถามผู้ใหญ่ที่พอจะคุ้นเคยกับท่านว่า ที่เห็นพนมมือทำปากหมุบหมิบนั้น พูดอะไร ทำอะไร
 
ท่านก็ตอบว่า “อ้าวไอ้หนู ป้าก็อธิษฐานของป้าสิ”
หลวงพ่อถามท่านว่า “ป้าอธิษฐานอะไร”
ท่านตอบว่า “ป้าอธิษฐานเยอะแยะเลย เอ็งอยากได้อะไรเอ็งก็อธิษฐานเอา แต่เอ็งต้องจำไว้เชียวนะ ลงท้ายต้องไปนิพพาน”
 
        เมื่อถามทำนองนี้กับคนอื่นๆก็ได้คำตอบในทำนองเดียวกัน ในตอนนั้น หลวงพ่อได้รับคำตอบแล้วก็คิดว่าก็ดีเหมือนกัน แต่ว่ายังมีสิ่งที่ค้างใจติดมาตั้งแต่ก่อนจะเข้าวัด คือ มีหลายๆท่าน กล่าวว่า การอธิษฐานนั้นไม่จำเป็น ทำบุญก็ได้บุญแล้ว จะต้องไปอธิษฐานทำไม เสียเวลา เพราะเมื่อเราทำดี ผลดีก็ต้องได้รับ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หลักเกณฑ์มีว่าอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราทำบุญอะไรก็ตาม จะทำบุญด้วยการตักบาตร ด้วยการทอดกฐิน ด้วยการรักษาศีล ด้วยการนั่งสมาธิ เมื่อทำแล้วก็จะต้องได้บุญ แล้วจะต้องไปอธิษฐานทำไม ถ้าเราทำบุญแล้วอธิษฐาน อย่างนี้การอธิษฐาน ไม่กลายเป็นส่วนเกินไปหรือ ข้อความทำนองนี้หลวงพ่อก็เคยอ่านมาไม่น้อย
 
        หรือบางท่านก็กล่าวว่า อธิษฐานนั้นดี แต่ว่าทำบุญนิดๆหน่อยๆ ทำบุญแค่ตักบาตรไม่กี่ทัพพี จะเอานิพพานเชียวหรือ อย่างนี้ท่านบอกว่า ค้ากำไรเกินควร
 
        ถ้าเราสังเกต จะเห็นว่าในเวลานี้หากไปตามวัดต่างๆ เวลาถวายสังฆทาน มักจะลงท้ายกันเพียงแค่ หิตายะ สุขายะ คือ ขอให้ผลบุญที่เกิดจากการถวายสังฆทานนี้ เป็นไปเพื่อความสุขเป็นไปเพื่อความเจริญ แต่ถ้าที่วัดพระธรรมกาย นอกจากจะลงท้ายว่า หิตายะ สุขายะ ยังจะต้องมี นิพพานายะจะ อย่างนี้ก็แสดงว่า วัดพระธรรมกายค้ากำไรเกินควร
 
        ตรงนี้ ก็ต้องอธิบายว่า การทำบุญแล้วอธิษฐานมุ่งสู่พระนิพพานนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่หลวงพ่อหรือว่าวัดพระธรรมกายคิดเอาเอง นี้เป็นแบบแผนที่มากันตั้งแต่โบราณ...เมื่อตักบาตรกันตอนเช้าที่หน้าบ้านแล้ว ก่อนจบคำอธิษฐาน เขาจะลงท้ายด้วย นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ เขากำหนดเป้าหมายชัดเจนว่าจะไปนิพพาน หากจะกล่าวว่า ทำบุญนิดๆหน่อยๆ ทำบุญแค่ตักบาตรไม่กี่ทัพพี จะเอานิพพานเชียวหรือ เป็นการค้ากำไรเกินควร ก็ต้องถามกลับไปว่า “แล้วจะต้องทำบุญขนาดไหน จึงจะไม่ถือว่าค้ากำไรเกินควร”
 
        สำหรับในกรณีที่กล่าวว่า “ทำบุญก็ได้บุญแล้ว จะต้องไปอธิษฐานทำไม”­_เพราะทำดีก็ต้องได้ดีเป็นธรรมดา เมื่อทำบุญแล้ว บุญก็ต้องส่งผล ให้เป็นความสุขเป็นความเจริญแน่ๆ แล้วทำไมจะต้องไปอธิษฐานอีกด้วย ตรงนี้จึงต้องทำความเข้าใจกัน ไม่เช่นนั้นจะเสียหาย ต้องดูอย่างนี้ก่อน...
 
1.คำอธิษฐาน คือ อะไร
 
หากจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คำอธิษฐาน...ก็คือโครงการ นั่นเอง
 
        ในปัจจุบัน เวลาที่ใครจะทำงานอะไรก็ต้องเขียนโครงการ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในรูปของงานที่จะทำ และถ้าจะให้ละเอียดก็จะมีแผนงานของโครงการนั้น เป็นขั้นเป็นตอนด้วย ถ้าเป็นพวกนักก่อสร้าง พวกที่สร้างบ้าน สร้างอาคาร เขาต้องมีพิมพ์เขียว ถ้าสร้างบ้าน สร้างอาคาร สร้างตึก โดยไม่มีพิมพ์เขียว เดี๋ยวก็ทำๆทุบๆกันอยู่นั่น ไม่จบกันเสียที มันต้องมีโครงการ มันต้องมีแผนงาน หรือ มันต้องมีพิมพ์เขียวก่อน แล้วจึงจะไปทำงานตามนั้น ก่อนที่จะลงมือทำงานก็ต้องร่างโครงการ มีแผนงานที่ชัดเจน หรือเขียนออกมาเป็นแบบพิมพ์เขียว ทำออกมาชัดเจนได้เท่าไหร่ก็ดีเท่านั้น นี้เป็นการทำงานของคนฉลาด เขาทำกันอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องทางโลก
 
        ในพระพุทธศาสนา การสร้างบุญสร้างบารมีก็เช่นกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนชาวพุทธให้อธิษฐาน
 
        คำอธิษฐาน ก็เหมือนกับโครงการหรือแผนงาน ในการสร้างบุญสร้างบารมีสร้างความดีของเรานั่นเอง ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ระยะสั้นเฉพาะหน้าก็เพื่อความชัดเจนในความดีที่จะทำ ระยะยาวก็เพื่อว่าเมื่อนานวันเข้า มันต้องการความต่อเนื่อง ในระหว่างนั้นจะได้ไม่เกิดความผิดพลาด เราจะเห็นว่า รัฐบาลของแต่ละประเทศ จะมีโครงการระยะยาว สิบปี ยี่สิบปี เขาก็ถือว่ายาวแล้ว ห้าสิบปี นานๆจะมีสักครั้งหนึ่ง ถ้าห้าสิบปีนี่ต้องเป็นโครงการใหญ่มากๆ ต้องระดมนักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งประเทศมาช่วยกันคิด แล้วก็กำหนดโครงการลงไป แต่ว่าในพระพุทธศาสนา โครงการสร้างบารมีสร้างความดีของคนเรา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ ทั้งระยะสั้น และระยะยาว
 
ระยะสั้น - แม้แต่วันพรุ่งนี้ก็ต้องมีโครงการ มีแผนงาน
 
ระยะยาว - ชาตินี้ชาติหน้าก็ต้องมีโครงการ มีแผนงาน ไม่ใช่ว่าแค่ห้าสิบปีหกสิบปี ข้ามชาติยังต้องมี ไม่ใช่แค่ชาติเดียว อย่างหมู่คณะเรานี้จะไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม กี่ชาติก็นับกันไม่ไหว แม้นับไม่ไหวแต่ก็ต้องนับ ต้องนับว่ากี่ชาติกี่ชาติก็ต้องสร้างอย่างนี้ ก็ต้องทำกันอย่างนั้น
 
        กล่าวโดยสรุป คำอธิษฐาน คือ โครงการในการสร้างบุญสร้างบารมี หรือแผนการในการสร้างบุญสร้างบารมี ทั้งระยะสั้น และระยะยาว เพื่อความรอบคอบความชัดเจนและความต่อเนื่องของเรา ในระหว่างที่ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร และไปสิ้นสุดอยู่ที่...พระนิพพาน ยิ่งถ้าสร้างบารมีเป็นทีม อย่างนี้ก็ยิ่งต้องอธิษฐานให้รอบคอบยิ่งขึ้น พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯบอกไว้แล้ว ท่านจะรวมพล จะไปปราบมาร ถ้ามารไม่หมด ท่านไม่เข้านิพพาน เพราะฉะนั้นต้องรวมพลนักสร้างบารมีไปให้เต็มที่ไปกันมากๆ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องอธิษฐาน ตรงนี้ต้องให้ชัดเจนกันลงไปก่อน
 
        “ทำบุญก็ได้บุญแล้ว”_นี้เป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง แต่ถ้าเราไม่อธิษฐานกำกับให้ดี ถ้าเราไม่ตั้งเป้า ไม่มีแผนให้ดี เวลาบุญส่งผลจะกระจัดกระจาย ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เราก็ทราบกันดีว่า ทานทำให้มีทรัพย์สมบัติ ศีลทำให้มีรูปสมบัติ แม้เป็นเช่นนี้ก็ยังต้องอธิษฐาน ทั้งนี้เป็นเพราะ...ดูตัวอย่างในปัจจุบันนี้ เศรษฐีบางท่าน เนื่องจากท่านรวยด้วยความเพียรในชาตินี้ หรือรวยด้วยความเพียรในชาตินี้บวกผลบุญในชาติที่แล้ว มารวมกัน ความเพียรก็เป็นความดี ทำดีก็ต้องได้ดี เมื่อทำดีก็ได้บุญ เมื่อได้บุญแล้วจึงทำให้กิจการนั้นรุ่งเรือง มีโอกาสรวย แต่เมื่อรวยแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ท่านเกิดความประมาท กล่าวคือ...
 
        ถ้ารวยแล้ว ยังไม่ตั้งผังยังไม่ตั้งโครงการตั้งแต่ต้นให้ดี เดี๋ยวจะเกิดอาการฟุ้งซ่าน พอรวยแล้ว บางท่านถือโอกาสฉลอง ฉลองทีไรเมาหัวตำดินทุกที กลายเป็นว่าเอาผลบุญที่ได้ซึ่งกลายเป็นกำไรมาแล้วนั้น มาเลี้ยงฉลอง บางทีการฉลองนั้นผิดวัตถุประสงค์ กล่าวคือ เอาเหล้ามาฉลองกัน ก็กลายเป็นว่า เอาบุญที่ได้มาทำบาป มันสะเปะสะปะ กว่าจะได้บุญมาขนาดนี้เหนื่อยแสนเหนื่อย ทุ่มเทกันสุดๆ สร้างบุญกันมามากมาย บุญจึงส่งผล พอรวยแล้วแทนที่จะเอาทรัพย์นั้นไปทำบุญเพื่อต่อบุญ กลับเอาทรัพย์นั้นไปทำบาป เพื่อทำลายตัวเองและหมู่คณะ เอาทรัพย์ที่เกิดจากบุญไปสร้างความวิบัติให้กับตัวเอง สร้างความวิบัติให้กับหมู่คณะ
 
        หรือบางคนพอรวยแล้ว ไม่กินเหล้าไม่เล่นการพนัน แต่เอาทรัพย์ที่ได้ไปสร้างโรงเหล้า เพราะเห็นว่ามันกำไรดี แล้วก็กำไรดีจริงๆ แต่ในกำไรในความร่ำรวยนั้น เป็นกำไรเป็นความร่ำรวยบนความหายนะของพี่น้องร่วมชาติ เป็นความหายนะของเพื่อนร่วมโลก เพราะว่ายิ่งรวยเท่าไหร่ พวกที่กินก็ย่ำแย่ยากจนลงไปเท่านั้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีความรอบคอบเขาก็จะตั้งผังตั้งโครงการหรือตั้งแผนงานไว้ให้ดี ตัวอย่างเช่น ถ้าเรารวยเท่านี้ได้กำไรมาเท่านี้ จะเอากำไรนี้ ไปลงทุนเท่าไหร่ ลงทุนสิ่งที่ดีๆไม่เกี่ยวกับอบายมุข แล้วจะไปทำบุญอะไร จะไปสนับสนุนพระพุทธศาสนา หรือจะไปสนับสนุนการศึกษาของเยาวชน ถ้าทำอย่างนี้ทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาด้วยความเหนื่อยยาก จะกลายเป็นประโยชน์ทั้งในชาตินี้และในชาติหน้า
 
        หรือบางคนรักษาศีลมาดี จึงทำให้หล่อทำทำให้สวย พอหล่อพอสวย จึงไม่ทำอะไรเลย วันๆเอาแต่แต่งตัว วันวันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่หน้ากระจก บุญกุศลที่จะได้เกิดต่อไปก็หมดแค่นี้ หรือด้วยความที่รักษาศีลมาดี จึงมีสุขภาพดี ไม่ป่วยไม่ไข้ เรี่ยวแรงอย่างกับช้างสาร จึงอาละวาดเป็นเจ้าพ่อเป็นนักเลง อุตส่าห์สร้างบุญมาอย่างดี กลับนำผลบุญที่ได้รับ มาทำบาป
 
        ความดีที่ทำแล้ว หากไม่มีแผนไม่ตั้งโครงการไม่ตั้งแผนงานให้ดี เมื่อเวลาออกผล คนที่เผลอไผลไป ก็จะเอาผลบุญนั้นไปใช้ในทางที่ผิดที่ไม่ควร เอาสิ่งที่บุญกุศลส่งให้ ไปทำความชั่ว สร้างความวิบัติให้แก่ตัวเอง และสร้างความวิบัติให้แก่เพื่อนร่วมโลก ความหายนะก็จะไปรอท่า
 
        ประการสำคัญ คือ บุญที่เราทำกันนั้น จะส่งผลถึงสามระยะ
 
1.ส่งผลในชาตินี้
 
2.ส่งผลในชาติหน้า
 
3.ส่งผลในชาติต่อๆไป จะอีกกี่ชาติก็ขึ้นอยู่กับว่าบุญมากหรือบุญน้อยขนาดไหน
 
        ดังนั้น การอธิษฐาน จะช่วยให้เราไม่เอาผลแห่งบุญที่เราสร้างมาด้วยความยากลำบากนี้ ไปทำผิดทำพลาด มีแต่จะเอาบุญต่อบุญไปเรื่อยๆ ไม่เฉพาะชาตินี้ แม้ในชาติต่อๆไปจะอีกกี่ชาติก็ตาม เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ทรงสอนเอาไว้ว่า อธิษฐานบารมี เป็นหนึ่งในบารมีสิบทัศ
 
        จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ สำหรับคำถามในประเด็นที่ว่า “การอธิษฐาน จำเป็นด้วยหรือ”_เราก็จะได้คำตอบว่า “จำเป็น”
 
การอธิษฐาน มีฤทธิ์อย่างน้อยสองประการ
 
ประการที่หนึ่ง) เป็นเรื่องของความฉลาดและความรอบคอบ ที่จะทำให้เราสร้างบุญอย่างต่อเนื่องแม้ข้ามชาติ
 
ประการที่สอง) เมื่อบุญส่งผล คำอธิษฐานที่ดีงามนี้จะช่วยกำกับเอาไว้ ไม่ให้เราเผลอสติไปหลงลืมตัว เอาผลบุญที่ส่งให้เป็นความสุขความเจริญ ไปทำความเดือดร้อนเสียหายให้กับตนเองและผู้อื่น
 
        สำหรับในกรณีที่มีผู้กล่าวว่า “อธิษฐานนั้นดี แต่ว่าทำบุญนิดๆหน่อยๆ ทำบุญแค่ตักบาตรไม่กี่ทัพพี จะเอานิพพานเชียวหรือ อย่างนี้...ค้ากำไรเกินควร”_ถ้าคิดอย่างนี้ต้องถือว่าดูถูกบุญ
 
         ขอเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆดังนี้ เราคงรู้จักซีเมนต์คอนกรีต คอนกรีตประกอบด้วย ผงซีเมนต์ ผสมกับทราย กรวดหรือหิน มีน้ำเป็นตัวประสาน คอนกรีตจะมีคุณภาพดีหรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของผงซีเมนต์ ถ้าผงซีเมนต์ไม่มีคุณภาพ ต่อให้ทราย ต่อให้หิน มีคุณภาพอย่างไร คอนกรีตนี้ก็ใช้ไม่ได้
 
        พวกเราจะฆ่ากิเลส จะถางทางไปพระนิพพาน ทางไปพระนิพพานนั้น คุณภาพต้องดี ถ้าคุณภาพไม่ดี เดี๋ยวไปพังกลางทาง
 
        ไม่ว่าอะไรทั้งในโลกและนอกโลก ทำลายกิเลสไม่ได้ ไฟก็เผากิเลสไม่ได้ น้ำก็ล้างกิเลสไม่ได้ กรดหรือด่างก็กัดกิเลสไม่ได้ ดวงอาทิตย์แม้ร้อนแรงแค่ไหนสว่างเพียงใดก็กำจัดกิเลสไม่ได้ กิเลสจะถูกกำจัดได้ด้วยสิ่งเดียวเท่านั้น สิ่งนั้นคือ บุญ และต้องเป็นบุญที่มีคุณภาพ มีคุณภาพทุกหยดทุกหยาด
 
การทำบุญที่ถูกหลักวิชชานั้น ต้องประกอบไปด้วย
 
1.วัตถุทานบริสุทธิ์
 
2.เจตนาบริสุทธิ์
 
3.ผู้รับบริสุทธิ์
 
4.ผู้ให้บริสุทธิ์
 
        แม้ข้าวเพียงทัพพีเดียว แต่เป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ กล่าวคือ หวังจะให้เป็นเรี่ยวแรงของหลวงพ่อหลวงพี่ ในการศึกษาปฏิบัติธรรม แล้วจะได้เอาธรรมะมาสอนพวกเราด้วย อีกทั้งท่านก็มีเรี่ยวแรงไปปราบกิเลสของท่านด้วย ผู้รับก็บริสุทธิ์ กล่าวคือ หลวงพ่อหลวงพี่ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม ท่านบริสุทธิ์ และผู้ให้ก็บริสุทธิ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ทรัพย์ที่ให้แม้จะมากจะน้อย แต่อย่างไรก็ต้องได้บุญมาก ข้าวแม้ทัพพีหนึ่ง ด้วยความบริสุทธิ์ทุกขั้นตอน...ดังนี้ มีสิทธิ์ได้บุญมหาศาล และมีสิทธิ์ได้บุญที่มีคุณภาพ แล้วจะเรียกว่าไปค้ากำไรเกินควร ตรงไหนกัน
 
 
        ดังนั้น ห้ามดูถูกบุญเด็ดขาด จะทำบุญมากน้อยเพียงไหน ก็ขอให้ตั้งเป้าไว้เถิดว่า ไปนิพพาน หากบุญที่เราทำนั้น ถูกหลักวิชชาทั้งสี่ประการดังกล่าว บุญของเรานี้ต้องบอกว่า มีคุณภาพสูง อย่าว่าแต่ข้าวเพียงหนึ่งทัพพี แม้ข้าวหนึ่งช้อนก็เป็นบุญใหญ่ บุญนั้นไม่มีคำว่า ค้ากำไรเกินควร บุญนั้นเป็นของเกินควรเกินคาดทั้งสิ้น ยิ่งทำบุญให้ถูกเนื้อนาบุญ ยิ่งได้บุญมหาศาล ใครจะบอกว่า “ทำบุญเล็กน้อยหวังไปนิพพาน เป็นการค้ากำไรเกินควร” พูดอย่างนี้ผิดหลักวิชชา
 
        เกี่ยวกับการอธิษฐาน หลวงพ่อขอเล่าเรื่องส่วนตัวสักเล็กน้อย จากการที่หลวงพ่อได้เห็นพี่ๆน้องๆลุงป้าน้าอาที่เขาเข้าวัดกันมาก่อนเรานั้น เขาอธิษฐานกัน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น หลวงพ่อก็จะอธิษฐานบ้าง ซึ่งในตอนแรกยังไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไรดี แต่ด้วยความเคยชินที่หากสงสัยอะไร ก็ต้องไปค้นคว้าเอกสารกันก่อน ค้นไปก็ไปเจอ ตัวอย่างคำอธิษฐานที่ผิดพลาด เป็นเรื่องของสตรีผู้หนึ่งในสมัยพุทธกาล เธอทำบุญทำทานของเธอมาข้ามภพข้ามชาติ ทำบุญทีไรเธอก็อธิษฐานว่าให้สวยที่สุดในโลก ชายใดได้เห็นให้งงงันไปหมด (ซึ่งการอธิษฐานอย่างนี้ เปรียบได้กับพิมพ์เขียวที่ใช้ไม่ได้ เป็นพิมพ์เขียวที่บกพร่อง)
 
        เมื่อบุญส่งผล เธอก็สมความปรารถนา ได้มาเกิดเป็นสตรีที่สวยอย่างที่อธิษฐานไว้ แต่ปรากฏว่า เช้าวันหนึ่งเธอออกมาเดินเล่น พอดีไปเจอกองทหารองครักษ์ ห้าร้อยคน ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ พอเห็นเธอเข้าก็แย่งกันเป็นเจ้าของเธอ เรื่องนี้จึงไปถึงพระเจ้าพิมพิสาร พระองค์ก็จนใจไปรู้ว่าจะยกเธอให้ใคร จึงตั้งเธอไว้เป็นของกลาง เป็นโสเภณี
 
        เมื่อหลวงพ่อเจออย่างนี้เข้า (ตอนนั้นยังไม่ได้บวช)_จึงได้ไปถามกับคุณยายอาจารย์ว่า “คุณยาย...คำอธิษฐานมีความจำเป็นมากไหม”
 
        คุณยายตอบว่า “จำเป็นสิคุณ พระโพธิสัตว์กว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็อธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก ท่านก็ต้องสร้างอธิษฐานบารมี คุณจำไม่ได้หรือท่านอธิษฐานเลยว่า ให้เราหมดกิเลส เมื่อเราหมดกิเลสได้แล้ว จะนำสัตว์โลกให้หมดกิเลสตาม เราข้ามไปฝั่งนิพพานได้แล้ว จะพาชาวโลกข้ามไปฝั่งนิพพานตามไปด้วย”
 
        พระโพธิสัตว์ยังต้องอธิษฐาน เพราะถ้าไม่อธิษฐานเดี๋ยวไปแวะข้างทาง (ไปเสียเวลาในการสร้างบารมี การสร้างบารมีไม่ต่อเนื่อง)_หรือไม่อย่างนั้นเดี๋ยวตรัสรู้แล้ว ไม่สอนชาวโลกอย่างที่ตั้งความหวังเอาไว้แต่แรก ดังเรื่องราวของพระสังกัจจาย (พระมหากัจจายนะ)_ภพในอดีต เมื่อตอนเริ่มแรกสร้างบารมี ท่านตั้งความปรารถนาไปเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง แต่หลังจากสร้างบารมีมาได้ระยะหนึ่ง ท่านก็เปลี่ยนมาตั้งความปรารถนามาเป็นพระอสีติสาวก ขอเพียงเท่านั้น ขอเป็นพระสาวกที่มีความสามารถในการเทศน์การสอนการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
 
        แต่เนื่องจากในอดีตท่านเคยตั้งอธิษฐานมาว่า จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในเบื้องหน้า เพราะฉะนั้น ด้วยกำลังบุญที่มีอยู่ จึงทำให้ท่านได้ลักษณะมหาบุรุษมาบางอย่างไม่ครบทั้งสามสิบสองประการ ทำให้ชาวพุทธที่เห็นท่านไกลๆเข้าใจผิดว่า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา ท่านจึงอธิษฐานด้วยอำนาจฌานด้วยอำนาจอภิญญาของท่านว่า ต่อนี้ไปเวลาที่ท่านไปที่ไหน ให้มีคนเห็นท่านเป็นพระพุงพลุ้ย เขาจะได้ไม่มาตั้งขบวนต้อนรับเพราะเข้าใจผิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา จากเรื่องนี้ เราจะเห็นว่า แม้ผู้ที่ตั้งใจจะไปเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเบื้องหน้า สร้างบารมีมามากจนกระทั่งได้ลักษณะมหาบุรุษบางประการแล้ว ยังเปลี่ยนใจ
 
        อธิษฐานบารมี จะทำให้เรามุ่งสร้างบุญสร้างบารมีไปตามความปรารถนาที่ตั้งไว้โดยไม่เปลี่ยนใจ
 
        เมื่อหลวงพ่อก็ถามคุณยายว่า “คุณยาย...แล้วจะต้องอธิษฐานอย่างไร”_คุณยายก็ตอบสั้นๆว่า “ก็เลือกอธิษฐานที่ดีๆ ที่จะทำให้เรามีแต่ความเจริญก้าวหน้า”_ในขั้นต้นคุณยายให้อย่างนี้ก่อน ท่านยังไม่ให้รายละเอียด เพราะถ้าให้รายละเอียดในตอนแรก เดี๋ยวเราจะจำไม่ไหว และจะสลับสับซ้อนเกินไป
 
        เมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ หลวงพ่อก็อธิษฐานว่า “เกิดกี่ชาติกี่ชาติขอให้ได้เกิดเมืองไทยเถิด”_เพราะตอนนั้นหลวงพ่อยังไม่รู้อะไรเลย เมื่อผ่านไปได้ประมาณหนึ่งเดือน คุณยายเห็นหลวงพ่ออธิษฐานเร็วมาก วันหนึ่งท่านก็ถามว่า “อธิษฐานเรียบร้อยแล้วหรือคุณ อธิษฐานว่าอย่างไร”_เมื่อหลวงพ่อเรียนให้ท่านทราบ คุณยายจึงถามว่า “คุณมีความคิดอย่างไร ถึงได้อธิษฐานอย่างนั้น”
 
        หลวงพ่อตอบท่านว่า “ก็เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ เพราะฉะนั้น ถ้าได้เกิดในเมืองไทยนี้ ผมก็เชื่อว่าผมปลอดภัยแล้วครับ ได้เจอพระพุทธศาสนา”
 
คุณยายจึงตั้งคำถามกับหลวงพ่อว่า “คุณ...พระพุทธศาสนา เกิดที่ไหน”
“เกิดในอินเดียซิครับคุณยาย”
คุณยายก็ถามต่อ “แล้วเดี๋ยวนี้พระพุทธศาสนาในอินเดียเป็นอย่างไร”
“โอ...จะหมดอยู่แล้ว หาพระแทบจะไม่เจอแล้วครับคุณยาย พระที่เป็นชาวอินเดียแทบจะไม่มีแล้ว ที่มีอยู่ในอินเดียเป็นพระจากประเทศอื่น ที่ไปอยู่เผยแผ่พระพุทธศาสนาในอินเดีย”
คุณยายก็ถามว่า “เออ...พระพุทธศาสนาเกิดในประเทศอินเดีย ตอนนี้เกือบหมดจากประเทศอินเดียแล้ว แล้วคุณแน่ใจได้อย่างไรว่า เมื่อคุณมาเกิดอีกที พระพุทธศาสนายังมีอยู่ในประเทศไทย”
 
        เราจะเห็นว่าผู้มีธรรมนั้น ความคิดของท่าน ไม่ใช่เฉพาะหน้า และไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ คุณยายพอเข้าถึงธรรมะแล้ว ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของใจท่าน ทำให้ท่านมองข้ามภพข้ามชาติไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้
 
        จากนั้น หลวงพ่อก็กลับมาอธิษฐานใหม่ว่า “เกิดกี่ชาติกี่ชาติ พระพุทธศาสนาเจริญที่ใดขอให้ได้ไปเกิดที่นั้นเถิด”_อยู่ต่อมีอีกสักอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ คุณยายก็ถามหลวงพ่ออีกว่า “คุณ...อธิษฐานว่าอย่างไร”_เมื่อหลวงพ่อตอบให้ทราบ คุณยายก็ถามว่า “คุณเคยเห็นไหม บางคนบ้านเขาอยู่ข้างวัด แต่เขาไม่เคยทำบุญทำทานกับวัดเลย แถมยังด่าพระอีกด้วย คุณแน่ใจได้อย่างไรว่า พระพุทธศาสนาเจริญที่ไหน คุณก็ไปเกิดที่นั่นแล้ว แต่อะไรจะเป็นหลักประกันว่า คุณจะไม่เป็นคนแบบนั้น ไม่ทำบุญกับวัด แถมด่าด้วย”
 
        หลวงพ่อก็กลับมาเปลี่ยนคำอธิษฐานใหม่ว่า “เกิดกี่ชาติกี่ชาติไปเบื้องหน้า พระพุทธศาสนาไปเจริญรุ่งเรืองที่ไหนก็ขอให้ไปเกิดที่นั่น พอเกิดแล้วก็ให้ตั้งใจทำบุญทำทานรักษาศีล”_วันหนึ่งคุณยายก็ถามอีกว่า “คุณ...อธิษฐานว่าอย่างไร”_เมื่อหลวงพ่อตอบให้ทราบ คุณยายก็ถามว่า “คุณเคยเห็นไหม บางคนเขาก็เข้าวัด เขาก็ตักบาตรทำบุญทำทาน บางคนก็ทำเต็มที่ แต่บางคนก็ทำไปอย่างนั้น บางคนปีหนึ่งทำบุญแค่ในวันเกิดเท่านั้น ถ้าพ่อแม่ญาติพี่น้องของเขาที่ละโลกไปแล้ว รอให้กรวดน้ำ สงสัยว่าบรรพบุรุษของเขาคงอดอยากแย่เลย”
 
        หลวงพ่อจึงรู้ว่า คำอธิษฐานนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว และในวันนั้นเองคุณยายได้ให้หลักการสั้นๆเอาไว้ว่า “คุณ...จำเอาไว้ อธิษฐานอะไรล่ะก็ เอาหลักธรรมเป็นใหญ่ และมุ่งเอาที่ความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ของตนเองเป็นตัวตั้ง จะเกิดไปกี่ภพกี่ชาติ ขั้นต้นเลย ให้เป็นผู้มีความบริสุทธิ์ด้วยกาย วาจา ใจ ตลอดไป ตั้งแต่วันนี้จนกระทั่งวันหมดกิเลสเข้านิพพาน ความคิดร้ายๆ คำพูดร้ายๆ การกระทำร้ายๆ อย่าได้มามีมาเกิดในตัวของเรา ให้เราบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนแก้วเหมือนเพชร หรือเหมือนมณีโชติรส เป็นต้น ให้ตั้งเอาไว้อย่างนี้ ถ้าอย่างนี้โอกาสที่จะพลาดก็น้อยแล้ว อย่างนี้เรียกว่าล้อมคอกไว้ชั้นหนึ่งแล้ว เป้าจะได้ชัด ไม่ต้องไปแวะสองข้างทาง”
 
        ในส่วนที่ว่า ไปแวะสองข้างทาง คุณยายอธิบายว่า “พระโพธิสัตว์ ในบางชาติ พอรู้ความก็บวชเลย อย่างพระเตมีย์ อย่างนี้เรียกว่าสร้างบารมีตรงไปพระนิพพาน แต่บางชาติ ก็ไปมีครอบครัว นั่นแหละหลวงปู่เรียกว่า ไปแวะข้างทาง”
 
        คุณยายยังสอนต่อไปอีกว่า ““ถ้าไปแวะข้างทาง มันเสียเวลา สมมุติว่าควรจะใช้เวลาในการสร้างบารมีสักร้อยชาติ ก็จะกลายไปเป็นพันชาติ และถ้าไปได้คู่ครองดีก็แล้วไป แต่ถ้าไปได้คู่ครองไม่ดี คุณก็เรียนมาแล้วไม่ใช่หรือ กรณีพระโมคคัลลานะ ท่านไปได้คู่ครองเป็นมิจฉาทิฐิจนทำให้ท่านเผลอไปตีพ่อแม่ จึงตกนรก แม้ชาติสุดท้าย มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ยังต้องมาให้เขาทุบ ต้องเข้านิพพานโดยให้เขามาทุบ เพราะฉะนั้น คุณต้องระมัดระวังนะ ถ้าไม่แวะข้างทางได้ล่ะวิเศษเลย”
 
        นับแต่นั้นมา หลวงพ่อจึงได้หลักในการอธิษฐาน
 
1.ขั้นต้น อย่างไรเสีย ต้องบริสุทธิ์ด้วยกาย วาจา ใจ
 
2.พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองที่ไหน ขอไปที่นั่น ถ้าจะให้ชัดเจนขึ้นไปอีก วิชชาธรรมกายเจริญรุ่งเรืองที่ไหน ขอไปที่นั่น ไปแล้วไม่ไปเปล่า ตั้งใจเลย ให้ได้ทำ...ทั้งให้ทาน ทั้งรักษาศีล ทั้งเจริญภาวนา และจะให้รัดกุมเข้าไปอีก ให้ได้เกิดในครอบครัวธรรมกายด้วยก็ยิ่งดี ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่รู้ความให้ระลึกชาติได้ด้วย
 
        ถามว่า พอรู้ความแล้วระลึกชาติได้ เป็นไปได้ด้วยหรือ ก็ไปดูพระเตมีย์ พระชาตินั้นของพระโพธิสัตว์ ไปบังเกิดเป็นพระเตมีย์ พระราชบิดาทรงอุ้มไปนั่งบนตักขณะที่ทรงพิจารณาตัดสินคดีความ ด้วยทรงตั้งใจที่ปลูกฝังพระเตมีย์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย พอดีวันนั้น มีการตัดสินประหารชีวิต พระเตมีย์ก็ระลึกชาติได้ในตอนนั้นว่า เราก็เคยเกิดเป็นกษัตริย์ และเคยตัดสินประหารชีวิตนักโทษเช่นนี้ จนทำให้ต้องไปตกนรก ต้องทุกข์ทรมานยาวนาน จึงทรงแกล้งทำเป็นใบ้ เพราะไม่ต้องการเป็นกษัตริย์ และต้องมาทำหน้าที่ตัดสินคดีเช่นนี้
 
        อีกประการหนึ่งที่อยากจะฝากไว้ คือ เราเห็นอะไรที่ไม่ถูกไม่ควรและมักจะเผลอใจไปทำ แม้จะไม่ถูกไม่ควร แต่เราก็มีความผิดพลาดทำนองนี้อยู่ ทำอย่างไรจะให้ความบริสุทธิ์เกิดขึ้นในตัว ก็ไปอธิษฐานแก้ไขล้อมกรอบเอาไว้
 
        ในการเวียนว่ายตายเกิด สิ่งที่น่ากลัวที่สุด มีอยู่สามเรื่องด้วยกัน
 
1.อะไรจะเป็นหลักประกันว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์
 
        ในโลกนี้มีสัตว์เดียรัจฉานมากกว่าคน จนนับไม่ไหว บ้านไหนเป็นครอบครัวใหญ่ มีสมาชิกในครอบครัวห้าหรือสิบคน แต่ในบ้านนั้นจะมีสัตว์อยู่เป็นแสนเป็นล้าน แค่มดที่อยู่ในบ้านก็นับไม่ไหว แถมยุงอีกเป็นฝูง แมลงสาปอีกเป็นฝูง เป็นต้น เพราะฉะนั้น อะไรจะเป็นหลักประกันว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสภาพเดียวที่สร้างบารมีได้ ก็ต้องบอกว่า ไม่มีอะไรจะเป็นหลักประกันได้ดีเกินศีล ศีลอย่างน้อยศีลห้า จะเป็นหลักประกันว่า ตราบใดที่ยังเวียนว่ายในวัฏสงสาร จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์แน่ ศีลจะประกันว่า จะได้เกิดเป็นคนและเทวดาเท่านั้น ไม่ไปเป็นอย่างอื่น
 
2.อะไรจะเป็นหลักประกันว่า ไม่ว่าจะเกิดกี่ชาติกี่ชาติแล้ว จะไม่จน
 
        ทาน เท่านั้น ที่จะเป็นหลักประกันว่า เกิดกี่ชาติกี่ชาติก็ไม่จน เกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่จน เกิดเป็นเทวดาก็ไม่จน แม้บางคนศีลบกพร่อง แต่ทำทานมาดี ไปเกิดเป็นสัตว์ยังเป็นสัตว์ที่ร่ำรวย
 
3.อะไรจะเป็นหลักประกันว่า ไม่ว่าจะเกิดกี่ชาติกี่ชาติ จะไม่โง่
 
        เว้นจากภาวนาแล้ว ก็ไม่มีอะไรอื่นอีก
 
        ที่กล่าวมานี้ จึงเป็นที่มาของบุญกิริยาวัตถุสาม ได้แก่ ทาน ศีล ภาวนา เพราะฉะนั้น เวลาทำทานให้มองว่า กำลังเก็บเสบียงเพื่อไปให้ถึงพระนิพพาน รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ให้มองว่า ศีลนี้จะเอามาเป็นหลักประกันในความเป็นมนุษย์ และประกันในความมีรูปสมบัติ แต่ต้องอธิษฐานล้อมกรอบให้ดีด้วย และประการสุดท้าย ต้องภาวนา จนกระทั่งอย่างน้อยเห็นพระธรรมกายในตัว ดังนั้น จะอธิษฐานอะไรก็ตาม สามเรื่องนี้มัดตัวเองเอาไว้ให้ดี และควรจะเพิ่มให้สามารถระลึกชาติได้ตั้งแต่เกิดตั้งแต่รู้ความ ภาพเหล่านี้ขอให้ชัดอยู่ในใจ อย่างนี้จะเป็นการอธิษฐานที่ป้องกันความประมาท
 
        อธิษฐานเป็นแค่โครงการ แผนงาน หรือ พิมพ์เขียว เพื่อป้องกันไม่ให้เราสะเปะสะปะ ไม่ให้ทำอะไรตกหล่น ไม่ให้ไปแวะข้างทาง ให้ไปตรงเป้าหมาย โครงการ แผนการ หรือ พิมพ์เขียว จะสำเร็จได้ต้องมีงบประมาณ ถ้าไม่มีงบประมาณก็เป็นเพียงแผนการลอยๆทำอะไรไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน อธิษฐาน ก็ต้องมีงบประมาณ งบประมาณของอธิษฐาน คือ บุญ ด้วยเหตุนี้เวลาอธิษฐานต้องอธิษฐานขณะที่บุญกำลังเกิด ยิ่งบุญกำลังเกิดมากๆ ตอนนั้นอธิษฐานให้ดี ตอนนั้นงบประมาณกำลังเต็มที่ หากเป็นพระ เมื่อปลงอาบัติเสร็จแล้ว สวดมนต์ภาวนากันเรียบร้อย ทบทวนศีล ทบทวนปาฏิโมกข์ดีแล้ว อธิษฐานท่ามกลางความบริสุทธิ์ของเราเลย อย่างนี้ใช้ได้ เพราะบุญจากการรักษาศีลกำลังเกิดเต็มที่ นี้คืองบประมาณ อีกทั้ง ในทุกครั้งที่ทำภาวนา ใจใสๆ อธิษฐานให้ดี เพราะช่วงนั้น นอกจากบุญจะเกิดแล้ว มารก็บังไม่อยู่ มองทะลุปรุโปร่งเห็นเป็นช่องเป็นทาง อธิษฐานตอนนั้น อธิษฐานซ้ำแล้วก็ซ้ำอีก ผังจะหนาแน่นทีเดียว
 
กล่าวโดยสรุปในเรื่องของการอธิษฐาน
 
1.คำอธิษฐานที่ดี ต้องอยู่บนฐานของความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ล้อมคอกให้แน่นหนา
 
2.คำอธิษฐานนั้น ต้องมีงบประมาณ คือ บุญที่ทำในขณะนั้น (บุญ คือ งบประมาณที่จะส่งความสำเร็จให้เรา)
 
3.ถ้าจะให้สำเร็จตามคำอธิษฐาน ต้องทำความดีหรือสร้างบุญชนิดนั้นๆให้ตรงตามผังลงไป
 
        อย่างนี้ ความสำเร็จจึงจะเป็นของเรา อธิษฐานลอยๆก็ได้ลอยๆ อธิษฐานด้วยทำไปด้วย อย่างนี้ความสำเร็จจึงเกิด ผังที่อธิษฐานนี้ ยิ่งชัดเจนเป็นรูปธรรมเท่าไหร่ เป็นขั้นตอนได้ชัดเจนได้มากเท่าไหร่ ก็มีฤทธิ์มากเท่านั้น
 
        คุณยายอาจารย์ได้สั่งเอาไว้ว่า “พวกเรานั้น ยังทำงานทั้งหยาบทั้งละเอียดอยู่ บางท่านก็ยังประกอบอาชีพอยู่ ในแต่ละวันก็ต้องทำงานเลี้ยงชีพด้วย และแบ่งเวลามานั่งสมาธิด้วย หรืออุบาสกอุบาสิกา ในแต่ละวันก็ต้องทำงานขององค์กรด้วย เพื่อให้วัดอยู่ได้ เพื่อให้องค์กรอยู่ได้ บางครั้งก็มีงานหนักเข้ามา มีหนักบ้างมีเบาบ้าง เพราะฉะนั้น ใจก็มีขึ้นบ้างลงบ้าง เมื่อใจขึ้นบ้างลงบ้าง มีหยาบมีละเอียด ความชัดความคมของคำอธิษฐานก็มีขึ้นๆลงๆ ดังนั้น ในเวลาที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่นำอธิษฐาน ให้เราปล่อยใจทิ้งดิ่งไปเลย ไปตามคำอธิษฐานที่ท่านนำ เหมือนกับว่าคำอธิษฐานของท่านก็เป็นคำอธิษฐานของเรา เป็นเนื้อหนังเดียวกันไป ตัวของเรากับท่านก็เหมือนเป็นกายเดียวกันไป ทั้งกายและใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไป ท่านนำอธิษฐานไป เราก็ตามกันไป เป็นเนื้อเป็นหนังเดียวกัน ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน อย่างนั้น...คำอธิษฐานของเราจึงจะคมจึงจะชัด และหนักแน่นไม่บกพร่อง เพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ ท่านทำละเอียดของท่านอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ขึ้นๆลงๆแบบพวกเรา ผูกติดไปกับคำอธิษฐานของท่าน”
 
2.การให้พร ศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด
 
        เวลาที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ให้พร รับพรด้วยความเต็มใจ เวลาพระให้พร ให้ปล่อยใจไปตามคำให้พรนั้น หรือในเวลาที่เรานิมนต์พระมาเป็นเนื้อนาบุญเป็นหมื่นเป็นแสนรูป เวลาท่านให้พรก็ปล่อยใจตามเสียงให้พรของท่าน อย่างนี้ศักดิ์สิทธิ์ดีนัก หรือในเวลาที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ให้พร รับพรให้ดี เพราะตอนนั้นใจของท่านเป็นบุญ ใจของท่านใส ท่านเห็นเป็นทางการสร้างบารมีที่ชัดเจนแล้ว จึงให้พรเรา พอเรารับแล้ว ก็เหมือนรับมาเป็นคำอธิษฐานของเราไปโดยปริยาย จากพรของท่านกลายเป็นคำอธิษฐานของเรา มันเชื่อมกันอย่างนี้ พอเป็นเนื้อเดียวกันอย่างนี้ เกิดกี่ภพกี่ชาติต่อไปเบื้องหน้า เวลามาสร้างบารมี ก็มากันเป็นแผงไม่แตกกระจายกันไป
 
        ถ้าพวกเราตั้งใจที่จะสร้างบารมีร่วมกัน อธิษฐานแน่นแฟ้นอย่างนี้ ถึงคราวเกิดพร้อมๆกัน ตั้งแต่เกิดก็พร้อมที่จะสร้างบารมีแล้ว ดังเช่นในชาดก เรื่องมโหสถบัณฑิต วันที่มโหสถบัณฑิตเกิด มีเพื่อนเกิดพร้อมๆกันในเมืองนั้นห้าร้อยคน เด็กเหล่านี้อายุแค่เจ็ดขวบสิบขวบ ก็ทำงานได้เหมือนผู้ใหญ่ สร้างศาลาใหญ่โตให้ผู้ใหญ่ใช้ฟังธรรมได้ เพราะมีแต่คนฉลาดมีแต่คนมีบารมีแก่กล้าทั้งนั้นมาเกิดพร้อมกัน ถึงห้าร้อยคน
 
        เรื่องของการสร้างบารมีเป็นทีมเป็นเรื่องใหญ่ เพราะฉะนั้นคำอธิษฐานจึงเป็นเรื่องใหญ่ ที่จะทำให้การสร้างบารมีเป็นทีมเกิดขึ้นได้ง่าย ยิ่งคำให้พรของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ของหลวงปู่-หลวงพ่อทั้งหลาย แม้แต่เป็นการสวดก็ตาม สิ่งเหล่านั้นเมื่อเรารับด้วยความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ก็กลายเป็นผังในการสร้างบารมีที่เหนียวแน่นมั่นคง และตรงดิ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม โดยไม่มีการแวะข้างทางเลย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลวงพ่อได้รับความเมตตาจากคุณยายอาจารย์ จึงได้นำมาถ่ายทอดต่อให้กับพวกเรา เพื่อเป็นแนวทาง เป็นต้นแบบของการสร้างบุญสร้างบารมี สืบต่อไป
 
**************** 
    
ชม Video ความสำคัญของการอธิษฐาน
 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
นักเรียนใหม่เจออานุภาพเหรียญปราบมาร - เฟชชี่ มิลาเคิลนักเรียนใหม่เจออานุภาพเหรียญปราบมาร - เฟชชี่ มิลาเคิล

พิธีตักบาตรพระนานาชาติ 2,100 รูป ตลาดโรงเกลือพิธีตักบาตรพระนานาชาติ 2,100 รูป ตลาดโรงเกลือ

ชีวิตสมณะ...ความสุขที่เรียบง่ายชีวิตสมณะ...ความสุขที่เรียบง่าย



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ช่วงเด่นฝันในฝัน