ชาดก 500 ชาติ
อาวาริยชาดก-ชาดกว่าด้วยไม่ควรเปล่งวาจาที่ดีให้เกินแก่ควรกาล
ในนครสาวัตถี สมัยนั้นพระพุทธศาสนาได้แผ่ขจรขจายเป็นที่เลื่อมใสศรัทธา จึงมีชาวบ้านถวายตัวเป็นสาวก บวชเป็นพระภิกษุเป็นจำนวนมาก
“ ข้าหมายถึงความสุขทางใจต่างหาก ข้าว่าเจ้าอย่ามัวแต่พูดอยู่เลย รีบออกเดินทางไปพระเชตะวันกันดีกว่า เดี๋ยวจะสายเอา ”
อัจจิรวดีก็ได้พบกับนายติตถวานิก ซึ่งเป็นคนแจวเรือข้ามฟาก นายติตถวานิกผู้นี้ เขาเป็นคนโง่ไม่รู้อะไร ไม่รู้แม้แต่คุณของพระรัตนตรัย
แห่งองค์พระศาสดาเป็นต้น ไม่รู้คุณของบุคคลอื่น ๆ ด้วยเป็นคนดุร้ายหยาบคาย หุนหันพลันแล่น
ไปไม่ได้หรอก ขอให้ท่านรออยู่บนฝั่งก่อนก็แล้วกัน ” “ ดูก่อนอุบาสก ท่านจะให้อาตมาอยู่ ณ ที่แห่งใดเล่า ขอจงรับอาตมาไปส่งด้วยเถิดนะ ”
ผู้เจริญ อาตมานี้มีความประสงค์จะอุปัฏฐากพระบรมศาสดาในวันนี้ ช่วยไปส่งอาตมาด้วยเถอะนะ ” “ นั้นมันก็เรื่องของท่าน ข้าไม่สนหรอก ”
“ ท่านอุบาสกผู้เจริญ หากท่านไม่ส่งอาตมาข้ามฝากไป ไม่เช่นนั้นอาตมาคงไปรับการอุปัฏฐากพระบรมศาสดาไม่ทันแน่ ๆ ได้โปรดเถิดนะท่าน ”
ต่อเพศสมณะของภิกษุเลยแม้แต่น้อย “ อ่ะ อ่ะ ก็ได้ๆ ในเมื่อท่านขอร้องข้าถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจะจัดให้ เดี๋ยวจะหาว่าข้าแล้งน้ำใจ มา ๆ มา ตามข้ามา
เดี๋ยวข้าจะพาไปส่ง ” “ อาตมาต้องขอขอบใจอุบาสกมากนะ ” (...อยากข้ามนักใช่ไหม เดี๋ยวก็ได้รู้)
แต่กลับพายเรือไปข้างล่าง ทันใดนั้นเองเขาก็แกล้งทำให้เรือส่าย ทำเรือโคลงไปเครงมา ทำให้บาตรและจีวรของภิกษุท่านนั้นเปียกน้ำ
ไปถึงฝั่งโดยลำบาก “ อุบาสก บาตรและจีวรของอาตมาชุ่มไปด้วยน้ำหมดเลย "
นะท่าน อาตมาจะรีบไปละนะ ” “ ไม่เป็นไรหรอกท่าน ยังไงก็ไปไม่ทันหรอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า ” ต่อมา เมื่อภิกษุมาถึงยังพระเชตะวันมหาวิหาร ก็ไม่ทัน
ได้โอกาสอุปัฏฐากจากองค์ศาสดาดังที่ตั้งใจไว้ “ เฮ้อ มาไม่ทันอุปัฏฐากเสียแล้วหรือเรา ”
จึงมาที่อุปัฏฐากในวันนี้ ” “ ข้าแต่องค์พระศาสดา เดิมทีก็ตั้งใจที่จะอุปัฏฐากตั้งแต่เมื่อวานพระเจ้าค่ะ แต่ว่า อืม ” เมื่อภิกษุกราบทูลเล่าเหตุการณ์
แด่องค์พระศาสดาทรงทราบ เมื่อทรงสดับเรื่องราวทั้งหมดแล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสแก่ภิกษุผู้นั้นว่า
แต่ในชาติปัจจุบันนี้ แม้ในชาติก่อนก็ได้ทำให้บัณฑิตลำบากมาแล้วเหมือนกัน ” พระพุทธองค์จึงทรงนำเอาเรื่องอาวาริยชาดกมาสาทกให้ฟัง ดังนี้
โปรดญาติโยม จึงเข้าไปภิกขาจารในเมืองพาราณสี “ เดินทางมาตั้งไกล ช่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เอ้ ที่นี่สงสัยจะเป็นเมืองพาราณสีแน่ ๆ เลย ”
พระฤาษีได้พร่ำสอนชาวเมืองจนเป็นที่เคารพอย่างยิ่ง “ พระฤาษีผู้นี้นั่งบำเพ็ญอย่างสงบช่างน่าเลื่อมใสยิ่งนัก ”
จิตศรัทธาเลื่อมใสในทันที จึงทรงนิมนต์พระฤาษีให้จำพรรษาในสวนหลวงเพื่อถวายทาน “ ข้าแต่พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าขอนิมนต์ท่านไปจำพรรษา
พระราชาแห่งพาราณสีเสด็จไปฟังธรรมวันละครั้ง พระฤาษีมักจะให้โอวาทแด่พระองค์เป็นประจำว่า “ มหาบพิตรผู้เจริญ พระองค์ทรงเป็น
พระราชาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน พระราชานั้น มิควรมีอคติ ๔ อย่างด้วยกัน พระองค์ควรเป็นผู้ไม่ประมาท สมบูรณ์ด้วยขันติ มีเมตตากรุณา
ครองราชย์โดยธรรม ที่สำคัญพระองค์อย่าทรงโกรธเป็นอันขาด ไม่ว่าจะในที่ใด ๆ จะเป็นในบ้าน ในป่า หรือที่ลุ่มที่ดอนก็ตาม
ที่เก็บเงินส่วยภาษีได้ปีละ ๑ แสนกหาปนะให้แด่พระฤาษี ๑ ตำบล แต่ฤาษีก็หาได้รับไม่เพราะถือเป็นกิเลส เวลาผ่านไปพระฤาษีออกภิกขาจาร
อยู่ในเมืองพาราณสีและจำพรรษาอยู่ในอุทยานนาน ๑๒ ปี
แล้วหรือนี่ เห็นทีต้องเดินทางออกไปโปรดญาติโยมที่อื่นบ้างแล้วหล่ะ ” เมื่อคิดได้ดังนั้น พระฤาษีออกเดินทางโดยไม่ได้เข้าเฝ้าทูลลาพระเจ้าพรหมทัต
ด้วยตนเอง เพียงฝากกับคนเฝ้าสวนหลวงไปกราบทูลให้ทรงทราบ
ที่มิได้กราบทูลด้วยตนเองนะโยมนะ ” “ ได้ขอรับ มิต้องเป็นห่วง ผมจะกราบทูลให้พระคุณเจ้าเอง ขอให้พระคุณเจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพเถิด
ขอรับ ” “ ขอบใจท่านมาก อาตมาไปละนะ
ชอบใช้กำลัง นิสัยไม่ดีอีกอย่างหนึ่งของนายอาวาริปิตาก็คือ มักไปส่งคนข้ามฝาก แล้วค่อยคิดเงินค่าจ้างเอาเงินตามใจชอบแต่ภายหลัง
จ่ายมาซะดี ๆ ” “ เฮ้ย พายเรือมาส่งแค่นี้ คิดตั้ง ๒๐๐ เลยหรือท่าน อย่างนี้มันโกงกันนี่น่า ” “ เอ้อ มากง มาโกงอะไรกันนี่ ก็ก่อนขึ้นเรือ
เจ้าไม่ได้ถามข้านี่นา ว่าค่าจ้างเท่าไหร่ ช่วยไม่ได้ ไม่อยากมีเรื่องก็จ่ายข้ามาสะดี ๆ ”
“ ไม่ ไม่ ไม่ ข้าไม่จ่าย เจ้ามันขี้โกง โก่งราคานี่นา ” “ ก็ได้ ไม่จ่ายใช่ไหม เดี๋ยวเจอไม้พายเข้าไป รับรองต้องจ่ายแน่ ๆ ฮะ ฮ่า ไม่ให้ใช่ไหม
นี่แน่ะ ๆ ” “ โอ้ย ๆ พอแล้ว อย่าทำอะไรข้าเลย เจ้าอยากได้เงินก็เอาไปเถิด โอ้ย ข้ากลัวแล้ว ” “ ให้ดี ๆ ตั้งแต่แรก ก็ไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้
สมน้ำหน้า ” เมื่อพระฤาษีเดินทางมาถึงท่าน้ำเรือข้ามฟาก ก็ได้พบกับนายอาวาริปิตา จึงขอใช้บริการเรือจ้างของเขา
“ โยม อาตมาขอข้ามไปฟากโน้นหน่อยจะได้หรือไม่ ” “ ได้น่า ได้อยู่ท่านฤาษี ว่าแต่ท่านจะให้ค่าจ้างเรือข้าเท่าไหร่ละ ” “ โยม อาตมา
จะให้ของดีที่ทำให้ร่ำรวยทรัพย์แก่ท่าน ” (เฮ้ย ของดีที่จะทำให้ร่ำรวยทรัพย์ นี่มันอะไรกันว่ะ สงสัยจะเป็นของวิเศษแน่ ๆ เลย รวยแล้วเรา)
นายแจวเรืออาวาริปิตา พาพระฤาษีข้ามฟากไป พอถึงฝั่งที่หมายแล้ว จึงเอ่ยทวงถามของดีที่จะทำให้รวยทรัพย์ที่พระฤาษีใช้เป็นค่าจ้าง
ซึ่งแท้ที่จริงของดีที่ว่าก็คือ ธรรมโอวาทนั่นเอง
หากแต่โยมลองขอค่าจ้างกับคนที่ยังไม่ข้ามฟากไปฝั่งโน้นก่อน เพราะจิตใจของคนที่ข้ามฟากแล้วกับคนที่ยังไม่ได้ข้ามฟากต่างกัน และอีกประการ
หนึ่งนะโยม ขอให้ท่านจงอย่าคิดเคืองโกรธไม่ว่าจะในที่ใด ๆ
“ ใช่แล้วล่ะโยม ” “ ไม่ได้ ข้าไม่ยอม เอาของดีของท่านเก็บไว้ใช้กับตัวเถิด ค่าจ้างของข้า ต้องเป็นเงินเพียงอย่างเดียว เอาเงินมาให้ข้า ข้าต้องการ
เงินเท่านั้น ” “ โยม นอกจากธรรมโอวาทนี้แล้ว อาตมาไม่มีอย่างอื่นจะให้หรอกนะ ”
พร้อมทั้งตบปากพระฤาษีอย่างดุร้าย ไม่มีความยำเกรงต่อเพศสมณะแต่อย่างใด “ ไม่จ่ายใช่ไหม นี่แน่ะ ๆ ตบฤาษีโว้ย ” “ อย่าทำอาตมาเลย โยม อย่า ”
ในขณะนั้นเองภรรยาของเขาซึ่งกำลังท้องแก่ได้ถืออาหารมาส่งให้นายอาวาริปิตา
มาหยุดยั้งความโกรธของเขาได้ ด้วยแรงโทสะ นายอาวาริปิตาจึงลุกขึ้นตบภรรยาอย่างแรง ถาดข้าวแตกกระจาย พร้อมกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของ
ภรรยา ที่ร่างเซถลาล้มลงกระแทกพื้นดินจนลูกน้อยในท้องทะลักออกมาทันที “ โอ้ย โอ้ย ลูกแม่ โอ้ย โอ้ย ”
ช่วยกันจับไอ้ตัวโจร ๕๐๐ เร็ว ” “ คนอะไรใจดำอำมหิต ฆ่าได้แม้กระทั่งหญิงท้องแก่ ช่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนาจริงๆ ช่วยกันจับไปส่งพระเจ้าพรหมทัต
ให้ลงโทษกันเร็ว ๆ ” “ เสร็จข้าล่ะ เจ้าฆาตกรเอ๋ย คราวนี้ล่ะแก ติดคุกหัวโตแน่แก ” “ เฮ้ย ปล่อยข้านะ เฮ้ย บอกให้ปล่อย ”
โหดเหี้ยมจริง ทหารเอาตัวมันไปคุมขังตลอดชีวิต ” “ พะยะค่ะ ” “ หม่อมฉันผิดไปแล้ว ประฝ ทานอภัยโทษให้หม่อมฉันเถิด ” “ มานี่ไปกับข้า จะดิ้น
ไปทำไม ขังลืมสะเลย ไม่ต้องให้เห็นเดือนเห็นตะวันสะเลยนี่ ” “ ปล่อยข้า ปล่อยข้า ข้าไม่ผิดนะโว้ย ข้าไม่ผิด ปล่อย ”
พระพุทธองค์เมื่อตรัสอดีตนิทานอาวาริยชาดกจบแล้ว ได้ตรัสให้โอวาทภิกษุว่า “ ภิกษุทั้งหลาย ผู้จะให้โอวาท ควรให้แก่คนที่เหมาะสม ไม่ควร
ให้แก่คนที่ไม่เหมาะสม ดังฤาษีให้โอวาทแก่พระราชาได้อยู่บ้านชั้นดี แต่ให้โอวาทแก่คนแจวเรือจ้าง กลับถูกตบปากฉันนั้น ”
พระฤาษี เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า