View this page in: 中文
ทศชาติชาดก
เรื่อง เนมิราช ผู้ยิ่งด้วยอธิษฐานบารมี ตอนที่ 2
จากตอนที่แล้ว ได้เกริ่นนำเข้าสู่เรื่องของพระเจ้าเนมิราช ผู้ยิ่งด้วยอธิษฐานบารมี โดยได้เปรียบภาพของ อธิษฐานบารมี ให้เห็นชัดว่า เป็นการตั้งใจมั่น เหมือนภูเขาหินที่ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวด้วยแรงพายุ อธิษฐานบารมีนี้จึงมีลักษณะว่า “ยอมตาย ไม่ยอมเปลี่ยนใจอย่างเด็ดขาด”
ครั้งหนึ่ง พระบรมศาสดาได้เสด็จดำเนินอยู่ในพระราชอุทยานอัมพวัน สวนมะม่วงของพระเจ้ามฆเทวราช โดยมีพระอานนทเถระ และเหล่าภิกษุติดตามเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงระลึกถึงเรื่องราวในอดีตของสถานที่แห่งนั้นจึงทรงแย้มพระโอษฐ์ ทำให้เกิดแสงสว่างวาบขึ้น
พระอานนทเถระ ตามเสด็จมาเบื้องหลังได้รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ ด้วยแสงสว่างนั้น จึงกราบทูลถามถึงสาเหตุ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงมีพระพุทธดำรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ เราเคยอาศัยอยู่ในสถานที่นี้ เพื่อเจริญฌานในสมัยที่เราเกิดเป็นพระเจ้ามฆเทวราช”
จากนั้นจึงได้ตรัสเล่าเรื่องในอดีตว่า ณ สถานที่เดียวกันนี้ ในกาลนั้นพระองค์ทรงเกิดเป็นพระเจ้ามฆเทวราช มหากษัตริย์แห่งกรุงมิถิลา ในยุคนั้นมนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ย ๔ แสนปี ได้ทรงเป็นพระราชกุมารอยู่ ๘๔,๐๐๐ปี ครองราชย์อยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี และเป็นพระมหาราชอีก ๘๔,๐๐๐ ปี
วันหนึ่ง พระเจ้ามฆเทวราชทรงเห็นเส้นพระเกศาของพระองค์หงอกเพียงเส้นเดียว ก็ทรงมีดำริที่จะออกบวช จึงได้ตรัสบอกพระโอรสว่า “ความเป็นหนุ่มของพ่อสิ้นไปแล้ว บัดนี้เป็นคราวที่พ่อจะออกบวช” แล้วก็ทรงอภิเษกพระราชโอรสพระองค์โตไว้ในราชสมบัติ พร้อมทั้งพระราชทานโอวาทว่า เมื่อผมบนศีรษะของลูกเริ่มหงอกเมื่อไร ลูกก็จงบวชเหมือนกับพ่อนี้
จากนั้น พระองค์ก็ได้อธิษฐานจิตมั่นว่า “ขอให้วงศ์กษัตริย์ของเราสืบต่อเชื้อสายแห่งวงศ์บรรพชิตเช่นนี้ตลอดไป” แล้วจึงเสด็จออกจากพระนครทรงผนวชเป็นฤษี เจริญพรหมวิหาร ๔ ตลอด ๘๔,๐๐๐ ปี
ทรงได้บรรลุฌาน และอภิญญาสมาบัติ ละจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก
แม้พระราชโอรสองค์โต ผู้ได้ครองราชย์สมบัติสืบต่อจากพระเจ้ามฆเทวราช ก็ได้ดำเนินตามมรรคาของพระองค์ โดยถือนิมิตผมหงอกเป็นจุดนำทางให้จำต้องสละราชบัลลังก์ ออกบวชเป็นฤษี แล้วก็มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
วงศ์กษัตริย์ของพระเจ้ามฆเทวราชได้สืบลำดับต่อเนื่องกันมาโดยทำนองนี้นับได้ประมาณ ๘๔,๐๐๐ พระองค์
ครั้งหนึ่ง ท้าวมฆเทวราชผู้บังเกิดและดำรงอยู่ในพรหมโลกก่อนกว่ากษัตริย์ทั้งหมด ทรงตรวจดูพระวงศ์ของพระองค์ ทุกพระองค์ยังคงรักษาประเพณีอันดีงามกันดีอยู่หรือไม่
เมื่อตรวจตราไปก็ได้เห็นว่า วงศ์กษัตริย์ของพระองค์ได้สืบต่อการออกบวชเรื่อยมาไม่ขาดสายเลย เป็นจำนวนกษัตริย์ถึง ๘๔,๐๐๐ พระองค์แล้ว ก็ยิ่งมีปีติล้นทับทวี
จึงทรงพิจารณาต่อไปว่า ต่อจากนี้ไป วงศ์กษัตริย์ของเราจะสามารถสืบต่อประเพณีนี้ไปได้อีกหรือไม่ ก็ทรงเห็นด้วยฌานสมาบัติว่า กษัตริย์พระองค์ต่อไปจะไม่สามารถรักษาประเพณีอันดีนี้ไว้ได้
จึงมีพระดำริว่า เราเองนี่แหละ จักสืบต่อพระวงศ์ของเราเอง จึงอธิษฐานจิตจุติจากพรหมโลกลงมาถือปฏิสนธิในพระครรภ์แห่งพระอัครมเหสีของพระราชาในกรุงมิถิลา
ครบ ๑๐ เดือน ก็ได้ประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดา ในวันขนานพระนาม พระราชาตรัสเรียกพราหมณ์มาทำนายลักษณะ
พราหมณ์เมื่อตรวจดูพระลักษณะแล้วก็กราบทูลว่า พระราชกุมารพระองค์นี้เป็นผู้ที่จะมาสืบต่อพระวงศ์ของพระองค์ เพราะพระวงศ์ของพระองค์เป็นวงศ์บรรพชิต
หลังจากพระราชกุมารพระองค์นี้ไป ก็จักไม่มีพระราชาพระองค์ใดได้เสด็จออกผนวชอีกเลย
พระราชาสดับดังนั้น ทรงมีปีติเป็นยิ่งนัก จึงทรงดำริว่า ลูกเรามาเกิดเพื่อสืบต่อวงศ์ของเราโดยแท้ เปรียบเหมือนล้อรถที่หมุนตามกันมา ฉะนั้น
เหตุนี้เองพระองค์จึงทรงขนานพระนามของพระราชโอรสว่า เนมิราชกุมาร ซึ่งแปลว่า กุมารผู้เป็นเหมือนล้อรถ ที่หมุนเวียนมาเพื่อตามรักษาประเพณีอันดีงามของวงศ์ตระกูลให้สืบต่อไป
เนมิราชกุมารนั้น รักในการบำเพ็ญบุญกุศล ให้ทาน รักษาศีล ๕ และอุโบสถศีล ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
เมื่อทรงเจริญวัยวัฒนา พระองค์ก็มิได้ทรงยินดีในเบญจกามคุณที่รายล้อมอยู่รอบพระวรกาย
ถึงกาลที่พระราชาผู้เป็นพระชนกดำรงอยู่ในราชสมบัติได้ ๘๔,๐๐๐ ปี พระชนกของพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเส้นพระเกศาหงอก ทรงเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร ซึ่งเป็นสัญญาณว่าความตายได้คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะ
ทรงรำพึงว่า สังขารไม่เที่ยงหนอ วัยของเราแก่หง่อมแล้วหนอ ถึงเวลาแล้วที่เราจะประพฤติธรรม ออกผนวชเป็นดาบสตามพระวงศ์ที่ได้ประพฤติรักษาประเพณีอันดีงามสืบต่อกันมา
จากนั้น ก็ได้พระราชทานบ้านส่วยแก่นายภูษามาลา แล้วทรงมอบราชสมบัติแก่พระเนมิกุมารผู้เป็นราชโอรส
แล้วพระองค์เองออกผนวชในพระราชอุทยานอัมพวันนั่นเอง และทรงเจริญภาวนาตลอด ๘๔,๐๐๐ ปี
เมื่อทรงละโลกไปแล้วก็มีพรหมโลกเป็นที่ไป เหมือนกษัตริย์องค์ก่อนๆ
การที่กษัตริย์แต่ละพระองค์ได้ทรงออกบวชตามๆ กันทุกพระองค์เช่นนี้ ก็ด้วยการอธิษฐานจิตของพระเจ้ามฆเทวราช ผู้เป็นองค์ต้นแห่งกษัตริย์วงศ์นี้ และวาสนาบารมีที่แต่ละพระองค์ได้สั่งสมมาในทางเดียวกัน วงศ์ของพระเจ้ามฆเทวราชนี้จึงได้ชื่อว่า “วงศ์บรรพชิต” ตามที่กล่าวแล้ว
แต่ตลอดกาลที่ผ่านไปเนิ่นนานเห็นปานนี้ ก็มิได้มีกษัตริย์พระองค์ใดได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สดับพระธรรมเทศนา และได้ทรงออกผนวชในพระพุทธศาสนาแม้เพียงพระองค์เดียว ได้แต่เพียงทรงออกผนวชเป็นดาบสเจริญฌานสมาบัติ แล้วไปเกิดในพรหมโลกวนเวียนอยู่เช่นนี้
จะเห็นว่า ระยะกาลที่พระสัทธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาที่สั้นนัก เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่โลกว่างจากพระสัทธรรม เปรียบเสมือนแสงสว่างแห่งฟ้าแลบขึ้นแปลบเดียวตลอดคืนอันมืดมิด
ดังนั้น ท่านทั้งหลายซึ่งได้มาถึงคำสอนอันสูงส่งเช่นนี้แล้ว หากมีโอกาสบวชก็จงฉวยโอกาสนั้นไว้ แล้วออกบวชเถิด จะได้คุ้มค่าที่ได้มาพบคำสอนของพระบรมศาสดา ส่วนเรื่องของพระเจ้าเนมิราชจะดำเนินไปอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)