ผู้จรรโลงพระพุทธศาสนา


[ 11 ต.ค. 2556 ] - [ 18303 ] LINE it!

ผู้จรรโลงพระพุทธศาสนา

     ในห้วงวัฏสงสารอันยาวไกล ทุกชีวิตต่างแสวงหาที่พึ่ง บ้างแสวงหาปัจจัยสี่เพื่อนำมาใช้ในการดำรงชีวิต บ้างแสวงหาอำนาจ ชื่อเสียง เกียรติยศ แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าสิ่งที่ควรแสวงหานั้น คือพระรัตนตรัยซึ่งเป็นที่พึ่งอันเกษมของทุกชีวิต เป็นสภาวธรรมอันละเอียดที่มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ด้วยการทำใจหยุด ทำใจนิ่ง ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ถ้าทำอย่างถูกต้อง เบาสบายและต่อเนื่อง ในที่สุดเราย่อมจะค้นพบวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของชีวิต โดยไม่ต้องไปแสวงหาสิ่งใดอีก เพราะไม่มีการแสวงหาใดๆ ในโลกที่จะสำคัญยิ่งไปกว่าการแสวงหาพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ใน ธนสูตร ความว่า


“ยสฺส สทฺธา ตถาคเต    อจลา สุปติฏฺฐิตา
สีลญฺจ ยสฺส กลฺยาณํ    อริยกนฺตํ ปสํสิตํ
  สงฺเฆ ปสาโท ยสฺสตฺถิ   อุชุภูตญฺจ ทสฺสนํ
  อทลิทฺโทติ ตํ อาหุ      อโมฆํ ตสฺส ชีวิตํ 

     ผู้ใดมีความเชื่อในพระตถาคต ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว มีศีลอันงาม อันพระอริยะชอบใจ สรรเสริญ มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ และมีความเห็นตรง บัณฑิตทั้งหลายกล่าวผู้นั้นว่า ไม่เป็นคนขัดสน ชีวิตของบุคคลนั้นไม่เปล่าประโยชน์”

     ความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นทางนำไปสู่สวรรค์และนิพพาน สิ่งนี้จะบังเกิดขึ้นได้ในใจ ต่อเมื่อเรามองเห็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ของท่าน ตระหนักและซาบซึ้งว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นประทีปธรรมของโลก เป็นบรมศาสดาที่จะนำแสงธรรมไปจุดในกลางใจของสรรพสัตว์ ทรงขจัดความมืดมิด คืออวิชชา ด้วยแสงแห่งพระสัทธรรมที่เกิดจากการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และตระหนักในคุณของพระธรรมว่าเป็นไญยธรรมที่นำสัตว์ออกจากทุกข์ สามารถขจัดทุกข์ของผู้นำที่ไปประพฤติปฏิบัติได้จริง อีกทั้งตระหนักถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระสงฆ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติตรง เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศไม่มีนาบุญใดยิ่งกว่า

     พุทธศาสนิกชนในสมัยก่อนนั้น มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก แม้พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วก็ตาม แต่ความเลื่อมใสในพระองค์ก็ไม่เคยคลอนแคลน สังเกตจากอามิสบูชา และปฏิบัติบูชาที่เห็นปรากฏเป็นรูปธรรม ตั้งแต่พระราชามหากษัตริย์ ถึงพ่อค้ามหาเศรษฐีทั้งหลาย ต่างออกบวชและได้บรรลุธรรมกันมากมายนับไม่ถ้วน

     อามิสบูชานั้นแสดงออกให้ชาวโลกได้ประจักษ์กันทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นการแกะสลักพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ตามภูเขา หรือหน้าผา หรือในถ้ำก็มี บางที่ก็สร้างเจดีย์ สร้างพุทธสถานอย่างเช่นบรมพุทโธในประเทศอินโดนีเซีย พุทธสถานเหล่านี้บ่งบอกถึงความศรัทธาเลื่อมใสของชาวพุทธในอดีต

     * ดังเช่นเมื่อครั้งอโศกกุมารเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระธรรมาโศกราช ได้โปรดให้สร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐ หลัง พระองค์ทรงปรารถนาจะได้พระบรมธาตุมาประดิษฐานในพระวิหาร ทรงได้ยินข่าวจากภิกษุสงฆ์ว่ามีพระบรมธาตุอยู่ แต่ไม่รู้ว่าถูกเก็บรักษาไว้ที่ไหน พระองค์ทรงรับสั่งให้หาในพระเจดีย์ในกรุงราชคฤห์ แต่ก็ยังไม่พบพระบรมธาตุแต่อย่างใด

     พระองค์ทรงพาพุทธบริษัท ๔ ไปกรุงเวสาลี เพื่อค้นหาพระบรมธาตุ แต่ก็หาไม่พบ เสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ก็ไม่พบเช่นกัน ครั้นเสด็จไปรามคาม พวกนาคไม่ยอมให้รื้อพระเจดีย์ ปรากฏว่า จอบหรืออุปกรณ์ใดๆ ที่ถูกต้องพระเจดีย์ต่างหักเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย จึงเสด็จไปเมืองอัลลกัปปะ ปาวา กุสินารา ก็ไม่ได้พระบรมธาตุอีกเช่นกัน จากนั้นทรงเสด็จกลับกรุงราชคฤห์ ทรงประชุมพุทธบริษัท ๔ พลางตรัสถามว่า “ใครเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่เก็บพระบรมธาตุบ้าง”

     ในที่ประชุมนั้นพระเถระรูปหนึ่ง อายุ ๑๒๐ ปี กล่าวว่า “เมื่อครั้งที่อาตมาอายุ ๗ ขวบ พระมหาเถระบิดาของอาตมภาพได้พาไปบูชาสถูปหินเป็นประจำ” พระราชาสดับเช่นนั้นทรงรีบรับสั่งให้แผ้วถางที่บริเวณสถูปหิน เมื่อปัดฝุ่นออกก็ทรงเห็นพื้นโบกปูนอยู่ จากนั้นทรงทำลายปูนโบก และแผ่นอิฐแล้วเสด็จเข้าไปภายใน ได้ทอดพระเนตรเห็นทรายรัตนะ ๗ ประการ และรูปไม้หุ่นยนต์ถือดาบเดินวนเวียนอยู่ พระเจ้าอโศกรับสั่งให้พราหมณ์ผู้มีคาถาอาคมทำพิธีเซ่นสรวง แต่ก็ยังเข้าไปไม่ได้ ต่อเมื่อพระองค์ทรงนมัสการเทวดาเพื่อขอรับพระบรมธาตุไปประดิษฐานไว้ในวิหาร ๘๔,๐๐๐ หลัง และขอเทวดาอย่าทำอันตรายใดๆ เลย

     ท้าวสักกเทวราชรู้ความตั้งใจมั่นของพระเจ้าอโศกมหาราช ที่จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา จึงตรัสสั่งให้วิสสุกรรมเทพบุตรลงไปทำลายหุ่นยนต์ วิสสุกรรมเทพบุตรได้แปลงเป็นเด็กชาวบ้านไว้ผมจุก ยืนถือธนูตรงพระพักตร์ของพระราชา ทูลว่าจะอาสาทำลายหุ่นยนต์ตัวนี้เอง จากนั้นก็จับศรยิงไปที่หุ่นยนต์ทันที ทำให้ทุกอย่างถูกทำลายกระจัดกระจายไปหมด

     พระราชาทรงถือตรากุญแจเข้าไปทอดพระเนตรเห็นแท่งแก้วมณี และเห็นอักษรจารึกว่า “ในอนาคตกาล พระเจ้าแผ่นดินที่ยากจน จะถือเอาแก้วมณีแท่งนี้แล้ว จงทำสักการะพระบรมธาตุทั้งหลาย” พระเจ้าอโศกมหาราชทรงกริ้วว่า ไม่ควรพูดหมิ่นพระราชาเช่นเราว่า เป็นพระเจ้าแผ่นดินผู้ยากจน จึงกระแทกประตูอย่างแรง อันนี้ก็เป็นกุศโลบาย เพราะถ้าพระเจ้าอโศกไม่ทรงกริ้ว ก็จะไม่กระแทกประตู ประตูจะเปิดไม่ออก

     เมื่อประตูเปิดออกได้ พระองค์ได้เสด็จเข้าไปภายใน ประทีปที่จุดไว้เมื่อ ๒๑๘ ปี ก็ยังลุกโพลงอยู่เช่นนั้นด้วยฤทธิ์ของเทวดา ดอกบัวขาบก็เสมือนเพิ่งนำมาวางไว้ในขณะนั้น เครื่องลาดดอกไม้ก็เสมือนเพิ่งนำมาปูลาดไว้ เครื่องหอมก็เสมือนเพิ่งจะบดมาวางไว้ พระราชาทรงหยิบแผ่นทองขึ้นมาอ่านว่า “ต่อไปในอนาคตกาล กุมารพระนามว่า อโศก จักเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระธรรมราชาพระนามว่า อโศก พระองค์จักทรงกระทำพระบรมธาตุเหล่านี้ให้แพร่หลาย” พระองค์ทรงปลื้มพระทัย ตรัสว่า “ท่านผู้เจริญ พระคุณเจ้ามหากัสสปเถระเห็นเราก่อนแล้วว่าเราจะทำเช่นนี้” ทรงยินดีปรีดามาก

     พระเจ้าอโศกทรงนำพระบรมธาตุทั้งหมดออกมา แล้วปิดเรือนพระบรมธาตุไว้ดังเดิม ทรงทำสถานที่ทุกแห่งให้เป็นปกติเช่นเดิม และโปรดให้ประดิษฐานปาสาณเจดีย์ไว้ข้างบน บรรจุพระธาตุไว้ในวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหาร ทรงไหว้พระมหาเถระ แล้วตรัสถามว่า “การที่โยมบริจาคทรัพย์ถึง ๙๖ โกฏิ ให้สร้างวิหารไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ วิหาร โยมได้ชื่อว่าเป็นทายาทในพระพุทธศาสนาหรือยัง”

     พระมหาเถระทูลว่า “ถวายพระพร มหาบพิตรยังเป็นคนภายนอกพระศาสนาอยู่ พระองค์เป็นเพียงปัจจยทายก คือผู้ถวายปัจจัยเท่านั้น หากผู้ใดให้บุตรหรือธิดาของตนได้ออกบวช ผู้นั้นจึงจะชื่อว่า เป็นทายาทของพระศาสนา” พระเจ้าอโศกทรงสดับเช่นนั้น ก็ทรงอนุญาตให้พระโอรส และพระธิดาซึ่งมีกุศลจิตศรัทธาอยู่แล้วออกบวช ทำให้พระพุทธศาสนาแผ่ขยายออกไปไกลถึงลังกาทวีป และขยายออกไปทั่วโลกด้วย ยุคนั้นถือว่าเป็นยุคที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากทีเดียว

     นั่นเป็นเพราะความเลื่อมใสอันไม่มีประมาณในพระรัตนตรัย มาในยุคสมัยนี้ ก็เป็นอีกยุคสมัยหนึ่งที่พวกเราทุกคนกำลังช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนาให้สืบทอดยาวนานต่อไป ให้เป็นที่พึ่งแก่มวลมนุษยชาติ พวกเราจะเป็นผู้มีส่วนอย่างสำคัญในการที่จะยอยกพระพุทธศาสนา เป็นกัลยาณมิตรให้ชาวโลกได้หันมาประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วสันติภาพที่ทุกคนใฝ่ฝันหาก็จะบังเกิดขึ้นในยุคของพวกเรา เพราะฉะนั้น ต่อแต่นี้ไป ให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของตนเองว่า เราคือผู้สืบทอดอายุพระศาสนา เราคือผู้พิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา และหมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมให้เต็มที่ ฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งให้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน จะได้เป็นพยานยืนยันผลของการเข้าถึงสันติสุขภายใน อีกทั้งเป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาอีกด้วย

พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๑๓ หน้า ๔๖๕
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
เสียงสาธุการของเทวดาเสียงสาธุการของเทวดา

การหว่านไถอย่างอริยะการหว่านไถอย่างอริยะ

ทำความดีต้องมีกุศโลบายทำความดีต้องมีกุศโลบาย



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน