ปชาบดีเถรี ผู้รัตตัญญู (๓)


[ 20 ธ.ค. 2556 ] - [ 18284 ] LINE it!

ปชาบดีเถรี ผู้รัตตัญญู (๓)

     ชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ ล้วนถูกบังคับบัญชาด้วยธรรมสามประการคือ กุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากตธรรม ธรรมทั้ง ๓ ประการนี้ จะสลับสับเปลี่ยนกันเข้ามาครอบครองจิตใจของเรา จะมีการชิงช่วง และช่วงชิงกันอยู่ตลอดเวลา

     ฉะนั้น เราควรจะหวงแหนเวลาที่ผ่านไปในแต่ละวินาที ให้จิตใจของเราเกาะเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล ไม่ควรไปเสียเวลากับสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ควรใช้เวลาที่ผ่านไปในแต่ละวันอยู่กับการสร้างบารมี แล้วชีวิตของเราถึงแม้จะเป็นของน้อย แต่จะทรงคุณค่าอย่างมหาศาล เป็นเวลาที่จะเป็นไปเพื่อการแสวงหาความบริสุทธิ์หลุดพ้น เป็นเวลาที่มุ่งแต่แสวงหาพระรัตนตรัยภายใน เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะเลิศไปกว่าใจที่บริสุทธิ์ และไม่มีสิ่งใดที่ประเสริฐกว่า การได้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน

มีพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ว่า

“อปฺปมายุ มนุสฺสานํ    หิเฬยฺย นํ สุโปริโส
    จเรยฺยาทิตฺตสีโสว      นตฺถิ มจฺจุสฺส นาคโม

     อายุของมนุษย์มีน้อย คนดีพึงดูถูกอายุนั้นเสีย พึงประพฤติตน ดุจคนมีศีรษะถูกไฟไหม้ มฤตยูที่จะไม่มาถึงย่อมไม่มี”

     ชีวิตของเรามีระเบิดเวลาที่พญามัจจุมารตั้งไว้ พร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเวลา เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าจะระเบิดขึ้นเมื่อใด และเมื่อระเบิดเวลาในชีวิตได้ระเบิดขึ้น ถึงเวลานั้นเราได้เตรียมตัวสำหรับการเดินทางไกลไปสู่ปรโลกแล้วหรือยัง ถ้าเราเตรียมตัวไว้ไม่พร้อม เราจะหวาดหวั่นต่อมรณภัยที่มาปรากฏอยู่เฉพาะเบื้องหน้า แต่ถ้าเราได้เตรียมตัวไว้อย่างดีแล้ว ไม่ว่าระเบิดเวลาจะระเบิดขึ้นเวลาไหนช้าหรือเร็ว เราจะไม่สะดุ้งหวาดกลัวต่อพญามัจจุราช เพราะเรารู้ว่าเราจะจากโลกนี้ไปอย่างผู้มีชัยชนะเหมือนอย่างพระนางมหาปชาบดีโคตมี

     * ในครั้งพุทธกาล ขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ในป่ามหาวัน กรุงเวสาลี พระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี ประทับอยู่ที่สำนักภิกษุณีในกรุงเวสาลีเช่นกัน ในเวลาอรุณรุ่ง พระเถรีออกเที่ยวบิณฑบาตตามปกติ หลังจากฉันภัตตาหารแล้ว ก็เจริญสมาธิภาวนาเสวยวิมุตติสุขอยู่ในผลสมาบัติในสถานที่พักของตน ครั้นออกจากผลสมาบัติแล้ว ก็พิจารณาข้อวัตรปฏิบัติของตนเอง ทำให้เกิดปีติโสมนัสยิ่งนัก พอตรวจตราดูอายุสังขารของตน ทราบว่าอายุสังขารใกล้จะหมดสิ้นลงแล้ว จึงดำริว่า ถ้าอย่างนั้นเราจะไปทูลขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาต แล้วถือโอกาสอำลาพระเถระทั้งหลาย และเพื่อนสหพรหมจารีทุกรูป แล้วค่อยดับขันธปรินิพพาน

     ในขณะที่พระเถรีดำริอยู่นั้นเอง ภิกษุณี ๕๐๐ รูป ล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ก็ได้มีความปริวิตกเหมือนพระนางมหาปชาบดีเถรีเช่นกัน เมื่อเป็นดังนั้น พระนางพร้อมทั้งภิกษุณีเหล่านั้นจึงพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ระหว่างทางพวกอุบาสิกาผู้มีศรัทธาเห็นพระเถรีกำลังเดินทางอยู่ จึงชักชวนกันเข้าไปถามถึงเหตุที่จะไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทราบว่าพระเถรีจะไปทูลลาเพื่อดับขันธ์นิพพาน ก็พากันคร่ำครวญด้วยความห่วงหาอาลัยเป็นการใหญ่ พระเถรีได้แสดงธรรมเป็นการปลอบโยนให้เหล่าอุบาสิกาได้คลายความเศร้าโศกว่า

     “พระบรมศาสดาเราก็ได้บำรุงเลี้ยงแล้ว คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ทำให้แจ้งแล้ว ภาระอันหนักเราได้ปลงลงแล้ว ตัณหาอันนำไปสู่ภพ เราได้ถอนเสียแล้ว เราออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นเราได้บรรลุแล้วโดยลำดับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสัทธรรมของพระพุทธองค์ยังดำรงอยู่ตราบใด ตราบนั้นยังคงเป็นกาลที่เราจะนิพพาน ท่านทั้งหลายอย่าได้เศร้าโศกถึงเราเลย ถ้าหากท่านทั้งหลายจะมีความรักหรือความกตัญญูในเรา ขอให้ท่านทั้งหลายจงทำความเพียร เพื่อความดำรงอยู่แห่งพระสัทธรรมเถิด”

     เมื่อพระเถรีสอนเหล่าอุบาสิกาให้คลายความเศร้าโศกแล้ว ก็เดินทางมุ่งหน้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป เมื่อไปถึงเป็นเวลาที่พระพุทธองค์กำลังจะแสดงธรรมพอดี พระนางจึงขอโอกาสเข้าเฝ้า ได้สนทนาธรรมกับพระพุทธองค์ ท่านได้กล่าวมธุรวาจาสมกับเป็นพระเถรีผู้รัตตัญญูรู้ธรรมได้บวชก่อนใคร ในหัวข้อสนทนาธรรมนั้นมีถ้อยคำที่น่าสนใจมาก พระนางได้กราบทูลว่า

     “ข้าแต่พระตถาคตเจ้า หม่อมฉันเป็นพระมารดาของพระองค์ก็จริง แต่ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบิดาของหม่อมฉัน พระองค์เป็นผู้ประทานความสุขอันเกิดจากพระสัทธรรมให้หม่อมฉัน รูปกายของพระองค์นี้อันหม่อมฉันทำให้เจริญเติบโต ส่วนพระธรรมกายอันสว่างไสวน่าเพลิดเพลินใจของหม่อมฉันนี้ พระองค์ทรงทำให้เจริญเติบโตแล้ว หม่อมฉันนั้นให้พระองค์ทรงดื่มน้ำนม อันระงับเสียได้ซึ่งความกระหายชั่วครู่หนึ่ง แต่น้ำนมคือ พระสัทธรรมอันสงบระงับกิเลสอาสวะนั้น พระองค์ให้หม่อมฉันได้ดื่มแล้ว พระองค์ชื่อว่า มิได้เป็นหนี้แก่หม่อมฉันเลย

     ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า หญิงทั้งหลายย่อมอยากได้บุตรตามที่ตนปรารถนา หญิงที่เป็นพระมารดาของพระเจ้าจักรพรรดิมีพระเจ้ามันธาตุราช เป็นต้น ชื่อว่าเป็นมารดาผู้ยังบุตรให้จมอยู่ในห้วงมหรรณพคือ ภพ ส่วนหม่อมฉันผู้จมดิ่งอยู่ในห้วงมหรรณพคือภพ อันพระองค์ให้ข้ามไปจากสาครคือ ภพแล้ว พระนามว่าพระมเหสีพันปีหลวง หญิงทั้งหลายย่อมสามารถได้โดยง่าย แต่พระนามว่าพระพุทธมารดานี้ หญิงทั้งหลายได้ยากอย่างยิ่ง ก็พระนามว่าพระพุทธมารดาคือ ผู้บำรุงเลี้ยงนี้ หม่อมฉันได้แล้วตามความปรารถนา หม่อมฉันย่อมปรารถนาจะทิ้งร่างนี้เพื่อเข้าสู่อายตนนิพพาน ขอพระองค์จงทรงอนุญาตเถิด”

     เมื่อกล่าวจบ พระนางได้ก้มพระเศียรลงแทบเบื้องพระยุคลบาทของพระบรมศาสดา เพราะเป็นวาระสุดท้ายที่พระเถรีจะได้เห็นพระบรมศาสดา พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับพระนางมหาปชาบดีโคตมีว่า “ดูก่อนพระโคตมี คนพาลเหล่าใด สงสัยในการตรัสรู้ธรรมของสตรีทั้งหลาย เธอจงแสดงอิทธิฤทธิ์ เพื่อกำจัดเสียซึ่งทิฏฐิของคนพาลเหล่านั้นเถิด” พระเถรีเมื่อได้รับพุทธานุญาตแล้ว ก็ถวายบังคมพระบรมศาสดา เหาะขึ้นสู่เวหาสทันที  

     ได้แสดงฤทธิ์ต่างๆ มากมาย เช่น เนรมิตเป็นหลายองค์บ้าง หายตัวไปบ้าง เดินทะลุฝากำแพงบ้าง ดำดินอย่างกับดำน้ำบ้าง เดินบนน้ำบ้าง เหาะไปในอากาศบ้าง ไปพรหมโลกด้วยกายเนื้อบ้าง บังพระอาทิตย์กับพระจันทร์ด้วยปลายนิ้วมือบ้างหรือเนรมิตน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไว้บนฝ่ามือข้างหนึ่ง แล้วทำพายุฝนที่เป็นดุจมหาเมฆบนภูเขายุคันธรให้ตกลงบ้าง

     พระเถรีแสดงฤทธิ์เสร็จ ลงจากนภากาศเข้าไปถวายบังคมพระบรมศาสดาเป็นครั้งสุดท้าย และกราบทูลลาว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า หม่อมฉันเป็นพระมาตุจฉาของพระองค์ เป็นผู้ทำตามคำสอนของพระองค์ ได้บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับแล้ว มีอายุได้ ๑๒๐ ปีแล้ว ถึงกาลอันควรที่หม่อมฉันจักขอถวายทูลลาดับขันธนิพพาน”

     ฝ่ายอุบาสิกาในพระนครผู้มีความเคารพรักในพระเถรี ได้สดับถึงการปลงอายุสังขารของพระนางปชาบดีโคตมีแล้ว ต่างพากันร้องไห้พิไรรำพัน พระเถรีกล่าวสอนว่า “ลูกทั้งหลายเอ๋ย การพร่ำเพ้อซึ่งเป็นไปในบ่วงมารไม่สมควรเลย สังขตธรรมทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง มีแต่จะพลัดพรากจากกัน หวั่นไหวไปมา ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในการจากไปของเรา จงยินดีในพระนิพพานเถิด” พอสิ้นคำกล่าว พระเถรีเข้าฌานสมาบัติไปตามลำดับ จนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน และเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติไปโดยอนุโลมและปฏิโลม เข้าปฐมฌานไปจนถึงจตุตถฌาน ครั้นออกจากจตุตถฌานแล้ว ก็เข้านิโรธสมาบัติดับขันธ์ไปสู่อายตนนิพพาน เหมือนเปลวประทีปที่หมดเชื้อดับไป

     นี่ก็เป็นตัวอย่างของผู้ที่จากโลกนี้ไปอย่างผู้ชนะโลก เมื่อท่านรู้ว่าระเบิดเวลาของชีวิตจะเกิดขึ้นเมื่อไร ก็เตรียมพร้อมไว้ทุกเมื่อ ท่านสามารถตายก่อนตายได้ นี่เป็นการเตรียมตัวอย่างถูกหลักวิชชา และน่าเอาเป็นแบบอย่าง เพราะเมื่อมัจจุราชมาถึง เราจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ดังนั้น เราต้องหมั่นฝึกฝนอบรมใจให้หยุดให้นิ่งให้ได้ตลอดเวลา ถ้าหยุดนิ่งได้ชีวิตจึงจะปลอดภัย ให้หมั่นนั่งธรรมะเป็นประจำสมํ่าเสมอ ฝึกกันไปจนกว่าจะเข้าถึงพระรัตนตรัยภายในกันทุกคน

 

พระธรรมเทศนาโดย: หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)  
 
* มก. เล่ม ๗๒ หน้า ๕๓๗ , เล่ม ๕๔ หน้า ๒๔๔
 

 



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
เขมาเถรี อัครสาวิกาเบื้องขวาเขมาเถรี อัครสาวิกาเบื้องขวา

ปฏาจาราภิกษุณีเถรีปฏาจาราภิกษุณีเถรี

พระภัททกาปิลานีเถรีพระภัททกาปิลานีเถรี



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะเพื่อประชาชน