เลือกชีวิตที่ “ใช่” : พระมหาอรรถพล กุลสิทฺโธ ป.ธ.9


[ 11 มิ.ย. 2558 ] - [ 18283 ] LINE it!

เลือกชีวิตที่ “ใช่”
 
บทความจากหนังสือ บวช..เพื่อให้ชีวิตดี๊ดี

พระมหาอรรถพล กุลสิทฺโธ ป.ธ.9 วัดพระธรรมกาย
พระมหาอรรถพล กุลสิทฺโธ ป.ธ.9 วัดพระธรรมกาย

อดีตท่านได้รับคัดเลือกให้เป็นรองประธานนักเรียน
เป็นดรัมเมเยอร์หลายสมัย
ถูกทาบทามเข้าสู่วงการนายแบบ
เป็นพิธีกรรายการยอดนิยมของวัยรุ่น
สอบติดโควต้าคณะแพทย์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ฯลฯ
จากโปรไฟล์ชีวิตที่ฉายแววแห่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
จ่ออยู่ข้างหน้าขนาดนี้
แต่ท่านกลับสลัดทิ้ง
เพื่อเลือกชีวิตที่ “ใช่กว่า” เพราะอะไร !!!


       มีหลายคนตั้งคำถามว่า ทำไม..ท่านไม่เลือกที่จะเป็นหมอ ? ไม่เลือกที่จะเข้าสู่วงการบันเทิง ? ทั้ง ๆ ที่มีโอกาส ท่านไม่อยากรวยไม่อยากมีชื่อเสียงหรือ ? ในเมื่อสิ่งเหล่านี้ เป็นที่สุดของความปรารถนาของหลายคนบนโลก

     จากชีวิตของพระอาจารย์รูปนี้ “พระมหาอรรถพล กุลสิทฺโธ ป.ธ.9” ก่อนที่จะตัดสินใจมาบวช ท่านก็เป็นนักเรียน นักศึกษาที่ชอบทำกิจกรรมคนหนึ่ง แต่ความโดดเด่นของท่านอยู่ตรงที่มีผลการเรียนดีมาก ได้อยู่ห้องคิง และเรียนจบ ม.6 ที่เกรดเฉลี่ยเกือบ 4 ซึ่งทำให้ท่านได้โควต้าหมอ ตั้งแต่ยังไม่สอบเอ็นทรานซ์

     มาถึงตรงนี้ หากท่านเลือกเรียนหมอให้จบ ๆ ก็คงไม่มีใครถามอะไร ตรงกันข้ามท่านกลับไม่เลือกที่จะเป็นหมอเหมือนเพื่อนคนอื่น ทั้งที่เป็นอาชีพที่มีเกียรติ ได้รับการยอมรับสูงและที่สำคัญยังเป็นอาชีพที่มีรายได้มาก จากความคาใจตรงนี้เอง ทำให้ชีวิตของท่านน่าสนใจ ซึ่งเราคงต้องมาฟังคำตอบจากเรื่องราวชีวิตจริงของท่านโดยตรง

     “ตอนนั้นอาตมาคิดว่า หากเราเลือกเรียนหมอ เราคงต้องเอาเวลาทั้งชีวิตให้กับการเรียนเลย อีกทั้งต้องเรียนนานถึง 6 ปี แล้วต้องใช้ทุนนานกว่าจะหมด ซึ่งทำให้อาตมาไม่มีเวลามาทำบุญที่วัดและนั่งสมาธิได้บ่อย ๆ เหมือนอย่างเคย เพราะครอบครัวอาตมามาวัดเป็นประจำอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างโยมพี่ชายแท้ ๆ ของอาตมาก็เป็นหมอให้ครอบครัวไปแล้วคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้อาตมาจึงตัดสินใจเอ็นทรานซ์ เพื่อให้ได้คณะที่ไม่ดื่มกินเวลาของชีวิตเราไปทั้งหมด ซึ่งอาตมาก็สมหวัง คือ เอ็นฯ ติดคณะเภสัชฯ จุฬา จึงทำให้อาตมามีเวลาและเดินทางมาวัดสะดวกอย่างที่ตั้งใจ อีกทั้งหากเรียนจบคณะนี้ ก็มีอนาคตที่ดีได้เช่นกัน

     ช่วงเรียนปี 1 อาตมาก็ตั้งใจเรียนเป็นปกติ แต่ก็ยังเป็นเด็กที่ชอบทำกิจกรรมเหมือนเดิม และก็ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยในการถือพานของคณะในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ จนกระทั่งมีแมวมองมาชักชวนเข้าสู่วงการโดยให้ไปถ่ายโฆษณา แต่อาตมาได้ปฏิเสธไป เพราะคิดว่า แม้วงการนี้จะเป็นทางมาแห่งรายได้และชื่อเสียงก็จริง แต่อาจเป็นดาบสองคมที่ทำให้เราเสียคนได้ง่าย

     จนกระทั่งช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน อาตมาได้ตัดสินใจมาบวช ซึ่งขณะบวช ชีวิตก็ไม่สบายเหมือนอยู่ที่บ้าน แต่เรากลับสบายใจ รู้สึกสงบ มีความสุขกับความเรียบง่ายไร้พันธนาการรู้สึกว่า ชีวิตไหนก็ไม่มีอิสระเท่ากับนักบวช เหมือนเราอยู่ในที่แคบ แต่ใจเราจะไปสู่โลกกว้างที่ไม่มีขอบเขตเป็นอิสระ แต่ทางโลกเขาเหมือนอยู่ในโลกกว้าง แต่ใจอึดอัดคับแคบ ที่สำคัญยังได้นั่งสมาธิ ได้เรียนรู้ธรรมะมากมายที่ไม่เคยรู้ รู้สึกเป็นชีวิตที่ไม่ต้องก่อบาป ไม่ต้องเบียดเบียนใคร วัน ๆ คิดแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรให้เข้าถึงธรรม คิดแต่ว่า จะช่วยเผยแผ่ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไร รู้สึกเป็นชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ภูมิใจที่ได้ทำเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง คือ การทำพระนิพพานให้แจ้ง แม้เราอาจจะยังไม่สามารถหมดกิเลสและเข้านิพพานในชาตินี้ แต่ก็เป็นต้นทุนให้เราหมดกิเลสได้ง่ายในชาติต่อไป อีกทั้งยังทำให้โยมพ่อโยมแม่และญาติพี่น้องได้บุญไปกับอาตมาด้วย

     ช่วงนั้นอาตมามีความสุขกับการบวชมาก จนพอจบโครงการอาตมาไม่อยากลาสิกขาเลย จึงตัดสินใจบอกโยมแม่ว่าจะขอบวชต่อไปเรื่อย ๆ แล้วจะตั้งใจศึกษาพระบาลี ซึ่งโยมแม่ก็อนุญาต และปลื้มใจที่ลูกชายคนหนึ่งของโยมแม่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยซึ่งเป็นเส้นทางอันบริสุทธิ์บริบูรณ์
 
พระมหาอรรถพล กุลสิทฺโธ ป.ธ.9 วัดพระธรรมกาย
พระมหาอรรถพล กุลสิทฺโธ ป.ธ.9 วัดพระธรรมกาย

     แต่พออาตมาไม่ลาสิกขา ก็มีบางคนมาถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ทำไมอาตมาจึงตัดสินใจเช่นนั้น การบวชดีขนาดนั้นเลยหรือ ? อาตมาผิดหวังหรือมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ?

     ตรงนี้อาตมาขอตอบว่า อาตมาเคยสัมผัสชีวิตทางโลกมาแล้ว ต่อมาก็มาบวชอยู่ในวัด ทำให้รู้ว่าในวัดเป็นชีวิตที่ใช่ แล้วจะให้อาตมาออกไปหาชีวิตที่ไม่ใช่ที่เคยผ่านมาอีกทำไม ในเมื่อทางโลกในแต่ละวันก็ไม่ทำให้เกิดบุญเท่าไหร่ ไม่เหมือนชีวิตนักบวช ดังนั้นจะถอยหลังไปเริ่มต้นใหม่ทำไม ในเมื่อทางนี้เป็นทางลัดแล้ว ขณะที่ชาวโลกทั่วไปเขากำลังเพลินเพราะความไม่รู้แต่อาตมากำลังเพลินด้วยความรู้ที่พระพุทธเจ้าสอน อีกทั้งสิ่งแวดล้อมทางโลกยังมีแต่ผู้ทุศีล ทำให้เรารักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้ยาก หากเราออกไปอยู่ทางโลก เราจะเป็นผู้ทุศีลโดยไม่รู้ตัวส่วนทางธรรม มีระเบียบวินัย มีศีลให้รักษา ซึ่งจะทำให้จิตเราตั้งมั่น และเข้าถึงธรรมได้ง่าย

     ชีวิตทางโลกก็เหมือนเราขว้างความสุขไปข้างหน้า คือต้องกดดันตัวเองหาเงินทอง เพื่อหวังที่จะมีความสุขในวันข้างหน้าจนในที่สุดก็ทุกข์จนชินและหมดเวลาของชีวิตไป เหมือนเศรษฐีบางคนบอกว่า แก่แล้วค่อยเข้าวัดปฏิบัติธรรมเพื่อหาความสุขในบั้นปลายชีวิต แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้า เพราะชราจนสภาพร่างกายไม่ไหวแล้วต้องตายเสียก่อน ดังนั้นเราจะรวยที่สุดหล่อที่สุด มีชื่อเสียงที่สุดไปทำไม เพราะถ้าไม่เข้าถึงธรรมก็ไม่มีประโยชน์

    อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราก็เช่นกัน พระองค์เป็นถึงกษัตริย์ที่มีความสุขสบาย และมีชีวิตที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ในทุกด้าน แต่พระองค์ก็เลือกที่จะออกบวช ครองผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อหาหนทางแห่งการดับทุกข์ หมดกิเลส พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

     ฉะนั้น จะเห็นว่าเพศภาวะนักบวชนี้ เป็นเพศสุดท้ายของชีวิตมนุษย์ในวัฏสงสาร ดังนั้นบุรุษคนใดก็ตาม ได้ตัดสินใจออกบวชด้วยความศรัทธาถือว่าเป็นผู้มีบุญจริง ๆ เพราะหากยังไม่ครองผ้าผืนนี้ ก็ยังต้องเดินทางในวัฏสงสารอีกยาวไกล ด้วยเหตุนี้อาตมาจึงอยากให้ลองเลือกเส้นทางที่ “ใช่” ด้วยการตัดสินใจมาบวชกัน”



Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ผีบอก ให้มาบวช !!! : พระพนมไพร ฐานวุฑฺโฒผีบอก ให้มาบวช !!! : พระพนมไพร ฐานวุฑฺโฒ

เกือบตาย!! หากไม่ยอมบวช : พระทวี เตชโสตฺถิโกเกือบตาย!! หากไม่ยอมบวช : พระทวี เตชโสตฺถิโก

กำความลับเรื่องกลโกงของคนอื่นอยู่ควรทำอย่างไรดีกำความลับเรื่องกลโกงของคนอื่นอยู่ควรทำอย่างไรดี



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ธรรมะสอนใจ