แสวงจุดร่วม สมานจุดต่าง


[ 10 ส.ค. 2550 ] - [ 18264 ] LINE it!

ผลการปฏิบัติธรรม

กัลยาณมิตร พูลสุข เติมเศรษฐเจริญ

 
กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง
 
    “แสวงจุดร่วม สมานจุดต่าง” ความหมายแท้จริงของคำพูดนี้ ช่างลึกซึ้งยิ่งนัก ตัวลูกได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่า ไม่มีวิธีการใดเลยที่จะทำให้ความแตกต่างที่มีอยู่ สมานจนรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ นอกจากการปฏิบัติธรรมเท่านั้น เพียงลงมือปฏิบัติ ปรับใจให้สมาน จุดต่างใดๆ ก็จะรวมเข้าด้วยกันได้
 
    ลูกชื่อ พูลสุข เติมเศรษฐเจริญ อายุ 46 ปี เดิมเป็นครูที่โรงเรียนใน จังหวัดสุพรรณบุรี มา 3 แห่ง เป็นเวลา 11 ปี ส่วนสามีหนุ่มสุพรรณ เป็นผู้ช่วยหัวหน้าการประถมศึกษา ระดับอำเภอ ต่อมาสามีอยากเกษียณเร็วเกษียณรวย จึงเปลี่ยนมาทำอาชีพค้าขายวัสดุก่อสร้าง
 
    เมื่อปี พ.ศ.2525 ขณะที่ลูกยังเป็นครูนั้น ลูกได้ไปที่วัดทุ่งสามัคคีธรรม อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี เพราะคุณยายบวชชีอยู่ที่วัดนี้ ขณะที่ลูกนั่งรอคุณยาย  พระอาจารย์ก็นำสาธุชนนั่งสมาธิ แบบอสุภกรรมฐาน นั่นคือ การพิจารณาความไม่งามของร่างกายจากการนึกถึงซากศพ หมั่นนำภาพซากศพมาพิจารณาในใจ เพื่อให้จิตเบื่อหน่ายคลายความยึดมั่นถือมั่น แล้วหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง ลูกก็ทำตามโดยนั่งปล่อยใจตามเสียงของท่าน ด้วยความรู้สึกของจิตใจที่สงบ ละเอียดอ่อน อีกทั้งบรรยากาศของสาธุชนนั่งกันมากมายเต็มศาลาวัดก็ช่างเป็นใจ ขณะกำลังนั่งไปใจเย็นๆ สงบอยู่นั้น พลันก็เห็นฟันในปากลอยออกมาเป็นวงชัดเจนมาก
 
    ต่อมาในปี พ.ศ.2526 ลูกได้ไปที่วัดนี้อีก และได้นั่งสมาธิแบบเดิม แต่เสริมด้วยการบริกรรมว่า “ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง” ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นของไม่งาม พิจารณาอย่างนี้แล้วก็ทำให้เกิดความสลดสังเวช แล้วลูกก็ได้เห็นภาพโครงกระดูก ปรากฏชัดเจนสว่างเหมือนแสงนีออน
 
    หลังจากนั้น ลูกก็ปฏิบัติธรรมโดยวิธีนี้มาตลอด รวมทั้งเมื่อต้องเปลี่ยนจากครูอาจารย์ไปวางมาดนักธุรกิจส่วนตัว ลูกก็ต้องปรับตัวเข้าหาผู้อื่นมาก เนื่องจากลูกค้า และลูกน้องไม่ว่าง่ายเหมือนลูกศิษย์ จนทำให้ลูกกลายเป็นคนหงุดหงิดง่าย จึงยิ่งหันมาสนใจการนั่งสมาธิมากขึ้น และมากขึ้น
 
    ในเดือนเมษายน พ.ศ.2547 ยอดกัลยาณมิตรผู้เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ในยามรุ่งอรุณ กัลยาณมิตรจิรัญญา เพ็ญพิบูลย์ แนะนำให้ลูกติดจานดาวธรรม ลูกประทับใจที่เห็นหมู่คณะในช่อง DMC ที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ก็ยังไม่คุ้นชินกับลีลาการพูดที่ดูเป็นกันเองของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เพราะคุ้นเคยกับคำสอนของวัดอื่นที่ต้องสงบ เป็นเวลากว่า 22 ปี พอมาเริ่มฟังคำสอนแนวใหม่เป็นครั้งแรก ก็ย่อมต้องไม่คุ้นเป็นธรรมดา
 
    อย่างไรก็ตาม ลูกก็รู้สึกในใจลึกๆว่า  “ก็สอนดีเหมือนกันนะ” ดังนั้น ต่อมาในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2547 ลูกจึงได้มาปฏิบัติธรรมครั้งแรกที่วัดพระธรรมกาย พระเดชพระคุณหลวงพ่อนำนั่งสมาธิแล้วกล่าวว่า “คนที่ไม่อยากมา ให้เอาช้างมาฉุดก็ไม่มา แต่ที่มาได้เพราะบุญพามา”
 
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อ นำนั่งสมาธิโดยกำหนดเป็นดวง ลูกก็สนองจุดร่วม คือก็นั่งสมาธิ แต่สงวนจุดต่าง คือทำแบบเดิม ทำให้เห็นภาพเป็นโครงกระดูกส่องสว่างอยู่ เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อกล่าวต่อไปว่า “ใครจะปฏิบัติอย่างไร ที่เคยปฏิบัติมาก็ทำได้ ขอให้สว่างก็ใช้ได้” ลูกรู้สึกราวกับว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังพูดกับลูก จึงศรัทธาพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่รู้ใจลูกโดยไม่ต้องบอก
 
    พระเดชพระคุณหลวงพ่ออธิบายต่อว่า “จะปฏิบัติธรรมมากี่แบบ แบบพิจารณาอสุภกรรมฐาน พิจารณาซากศพ ก็สามารถทำได้ ขอเพียงให้ใจสงบ ดูไปเฉยๆ ดูไปดูมาสักพัก เดี๋ยวศพนั้นก็ใสเหมือนแก้ว” ลูกนึกน้อมแล้วทำตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็เห็นตัวใสเหมือนแก้วอย่างอัศจรรย์
 
    หลังจากนั้น สถานที่ปฏิบัติธรรมของลูกก็เริ่มเปลี่ยนไป แทนที่จะต้องเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่วัดนอกบ้าน ซึ่งก็ไปได้นานๆครั้ง ลูกก็เปลี่ยนมาปฏิบัติธรรมตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อจากจานดาวธรรม ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นวัดในบ้านแทน ทำให้สามารถปฏิบัติได้ต่อเนื่อง จึงปฏิบัติมาตลอด วิธีการปฏิบัติของลูกยังคงเหมือนวันวาน เพราะชื่นชอบกับการนึกซากศพมานานหลายขวบปี
 
    จนกระทั่ง ลูกได้ไปพนาวัฒน์เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2548 พร้อมกับคุณแม่ ลูกสาว ลูกชาย และหลานสาวคนสวย รวมทั้งหมด 5 คน ลูกก็ยังใช้วิธีการนั่งแบบเดิม คือนึกถึงอสุภ จนกระทั่งใจสงบ ถูกส่วน แล้ววันที่พระธรรมกายรอคอยก็มาถึง เมื่อภาพองค์พระธรรมกายอยู่ในดวง ผุดเป็นสายขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากกลางกาย โดยเริ่มจากล่างขึ้นบน ท่านช่างงามมาก เมื่อได้พบความงดงามที่แท้จริง ลูกคิดว่า “ไม่มีอะไรในโลกอีกแล้วที่ดูงดงาม นอกจากพระธรรมกาย” ลูกรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก ไม่นึกว่าการใช้วิธีพิจารณาซากศพก็จะสามารถเห็นองค์พระเหมือนในจานดาวธรรมได้
 
    ความแตกต่างในวิธีการกำหนดนิมิต ถูกลบเลือนเมื่อเข้าถึงความเหมือนภายใน เปรียบประดุจต่างฟ้าแต่ตะวันเดียวกัน เมื่อกลับจากพนาวัฒน์ ลูกลงทะเบียนเรียน DOU วิชาสมาธิ 1, 2, 3, 4 จนคุ้นกับคำว่าศูนย์กลางกาย ทางเดินของใจฐานที่ 1-7 ลูกจึงเริ่มใช้วิธีตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อสลับกับวิธีเดิม
 
 
    เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2549 ลูกไปปฏิบัติธรรมที่พนาวัฒน์เป็นครั้งที่ 2 ลูกลองกำหนดดวงใสที่จมูกด้านซ้ายก็กำหนดได้ เห็นเป็นดวงกลมชัดใสเคลื่อนไปตามฐานที่ 1,2,3,4,5,6,7 แล้วย้อนเป็น 7,6,5,4,3,2,1 ไม่นานนัก ก็มีแสงสว่างพรึบเป็นดวงชัดใสนิ่ง โดยที่ลูกไม่รู้สึกตกใจ เห็นความเป็นไปโดยอัตโนมัติ ภาพพระอยู่ในดวงใส ภายในองค์พระมีดวง ผุดซ้อนขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงพระอาจารย์กล่าวว่า “สัพเพ พุทธา...” จึงรู้สึกว่ามีน้ำตาไหลพรากอยู่ข้างแก้มทั้งสองข้าง ลูกพึงใจกับความรู้สึกสุขสดชื่นที่ได้อยู่ในห้วงแห่งความปลื้มปีติ จนเกิดรอยยิ้มละไมบนใบหน้า อยากยิ้มให้คนทุกคนในโลกหล้า
 
    วันต่อมา ลูกนั่งสมาธิ เห็นภาพของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เป็นภาพที่เห็นจากทางด้านหน้าของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ลูกเห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อกำลังถอดแว่น ยิ้มทักทายลูกอย่างอ่อนโยนมาก แล้วพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็นั่งสมาธิ ลูกรู้สึกมีความสุขและดีใจมาก จนความสุขท่วมท้นทะลักออกมา
 
    อีกวันหนึ่ง ลูกมีประสบการณ์เหมือนกับตัวเองกำลังหลุดออกไปและมีแสงสีม่วงครามกระจายเต็มท้องฟ้า รู้สึกเหมือนกับว่า เราสามารถจะไปที่ไหนก็ได้ ลูกรู้สึกตกใจ แต่ก็มีเสียงของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯบอกว่า “ไม่ต้องกลัว” หลังจากวันนั้น ลูกมีประสบการณ์แบบนี้อีก แต่ใจลูกยังอยากเพียงแต่จะเข้าไปในองค์พระให้ชำนาญก่อนมากกว่า
 
    ทุกวันนี้ แนวปฏิบัติของลูกเปลี่ยนไปเมื่อทราบว่า จุดแตกต่างทั้งหลาย สุดท้ายก็มารวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ลูกจึงปฏิบัติโดยใช้หลักการวางใจตามฐานที่ 1-7 ด้วยการนั่งสมาธิวันละอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ช่วงเวลาอื่นที่ไม่ได้นั่งสมาธิก็นึกถึงสูตรเด็ดกลเม็ดเคล็ดลับที่สำคัญ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้ไว้ คือ “การบ้าน 10 ข้อ อย่าขาด ทำในทุกอิริยาบถ ทั้งนั่ง นอน ยืน เดิน โดยให้ใจชำเลืองมองดูศูนย์กลางกาย ดูดวงธรรมไปด้วย เราจะรู้สึกว่าชีวิตเกิดมามีคุณค่าทุกนาที ดูดีที่ฐานที่ 7 เหมือนมีเพื่อนที่คอยให้ความรักความอบอุ่น มีเพื่อนดีๆอยู่กลางกายตลอดเวลา” ช่างเหมือนกับเพลง I need somebody เลยค่ะ
 
    เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2550 ลูกนั่งสมาธิที่บ้านของตัวเอง เริ่มจากการสำรวมกาย วาจา ใจ แล้วเปิด CD นำนั่งสมาธิของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ช่วงแรกมีคิดแวบไปแวบมาประมาณ 5 นาที ต่อมามีความสว่างวาบ หยุดนิ่ง บริเวณกลางกายนานประมาณ 1 ชั่วโมง ภายใน 1 ชั่วโมงนั้น ลูกวางใจโดยเริ่มจากการนั่งอยู่ในท่าสบายๆ แล้ววางใจเฉยๆ นิ่งๆ เบาๆ คิดเพียงแค่ว่า เรามีหน้าที่นั่ง ไม่ต้องคิดว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร
 
    หลังจากนั้น ก็ปรากฏมีดวงกลมใสและองค์พระครอบตัวเรา และภายในตัวเรามีดวงกลมอยู่ ภายในดวงกลมมีองค์พระอยู่ เป็นภาพที่ติดตาตรึงใจมาก ลูกรู้สึกว่า เหมือนภาพที่เห็นในจานดาวธรรม แล้วภาพนั้นก็หายไป และเมื่อใจลูกนิ่งอีกครั้ง สักครู่ก็มีภาพหยดน้ำสวยใสมาก หยดน้ำสวยใสนั้นรวมตัวกันอยู่เป็นรูปเศียรพระ มองเห็นช่วงไหล่ของพระซึ่งสวยใสแพรวพราวมาก รู้สึกมีความสุข สดชื่นอัศจรรย์ใจ เกิดปีติว่า “สิ่งที่เราอดทนฝึกฝนทนสู้อยู่กับการทำสมาธิไม่สูญเปล่าแล้ว”
 
    การนั่งสมาธิตามแบบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทำให้ลูกได้เข้าใจว่า การจะเข้าถึงพระนิพพานได้ ต้องผ่านจุดสำคัญจุดนี้ นั่นคือ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 เพราะของดีมีท้องที่อยู่ คืออยู่ที่ท้องเรา ไม่ว่า เราจะพิจารณาความเสื่อมของร่างกาย หรือนั่งสมาธิแบบไหนก็ตาม  ก็ต้องมาถึงตรงจุดนี้เหมือนๆกัน 
 
“กายภายนอกเห็นว่าเสื่อมใครๆรู้   กายภายในเที่ยงแท้อยู่รู้บ้างไหม
จะพิจารณากายภายนอกมองออกไป   จะดูกายภายในมองเข้ากลาง”
 
กัลยาณมิตร พูลสุข  เติมเศรษฐเจริญ 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ความสุขในช่วงวิกฤตความสุขในช่วงวิกฤต

ความเลวต้องหนี ความดีต้องทำความเลวต้องหนี ความดีต้องทำ

เกราะที่จะคุ้มครองตัวได้ดีที่สุดเกราะที่จะคุ้มครองตัวได้ดีที่สุด



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ