กุศลนิมิต...สะกิดใจ


[ 3 ธ.ค. 2551 ] - [ 18263 ] LINE it!

ผลการปฏิบัติธรรม

กัลยาณมิตรไพรวัลย์ สิงห์โต
 
กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง
 
    คุณครูไม่ใหญ่ คือ ดวงตะวันที่ให้แสงสว่าง ขจัดความมืดบอดไปจากใจของปวงชน ผมเองก็คือคนหนึ่งที่พบหนทางสว่างจากคุณครูไม่ใหญ่ จากคนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องชีวิตในโลกหน้า นรก-สวรรค์ มีอบายเป็นที่ไป แต่บัดนี้ผมมีสุคติเป็นที่ไป มีนิพพานเป็นเป้าหมาย ที่สุดแห่งธรรมเป็นปลายทาง ก็เพราะได้ไปปฏิบัติธรรมที่สวนพนาวัฒน์ จากคนที่ไกลวัด บัดนี้กลายเป็นคนที่ใกล้วัด
 
    ผมชื่อ ไพรวัลย์ สิงห์โต อายุ 37ปี มีอาชีพรับเหมาซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล ในอดีตนั้น การใช้ชีวิตของผมจะหมกมุ่นอยู่กับการหาเงิน ผจญภัย เที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้า สรวลเสเฮฮากับเพื่อน ในใจลึกๆก็รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่ก็ไม่มีความรู้ว่าที่ดีต้องทำอย่างไร เพราะผมไม่เคยเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ คิดว่าชีวิตสิ้นสุดที่เชิงตะกอนเท่านั้น คุณแม่และพี่สาวซึ่งเป็นห่วงพฤติกรรมของผม มักจะชวนผมไปปฏิบัติธรรมที่พนาวัฒน์อยู่หลายสิบครั้ง แต่ผมก็ดื้อรั้นบ่ายเบี่ยงไปทุกครั้ง ด้วยเหตุผลยอดฮิตว่า “ไม่มีเวลา”
 
    กระทั่งปลายปี พ.ศ.2550 คุณแม่ก็ชวนผมอีก คราวนี้บุญบันดาล ทำให้ผมคิดว่าแม่เป็นบุคคลที่รักเราที่สุด แม่คงไม่หลอกเรา จึงยอมไปสวนพนาวัฒน์ ผมไปพนาวัฒน์ด้วยความไม่รู้ ไม่รู้จักวิธีวางใจ ดวงก็ไม่รู้จัก องค์พระแก้วใสเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ผมนั่งสมาธิตามที่พระอาจารย์บอก ซึ่งผมรู้สึกเมื่อยมากเหมือนแบกกระสอบข้าวสารหนักสักร้อยกิโลกรัมไว้บนบ่า แต่เมื่อมองไปรอบข้างซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เขายังนั่งกันได้ “แล้วทำไม ผู้ชายอย่างเราจะอดทนนั่งไม่ได้” จึงฮึดนั่งไปเรื่อยๆ
 
    ครั้นวันที่ห้า ผมปลื้มปีติในบุญที่ได้ร่วมถวายปัจจัยซื้อทีวีโปรเจคเตอร์ เพื่อใช้ในที่ปฏิบัติธรรม อุทิศให้แก่พ่อที่เสียชีวิตไปแล้ว จึงตั้งใจนั่งสมาธิเพื่อเอาบุญส่งไปให้พ่อ แต่ก็ผิดหวังอีก มีแต่ความปวดเมื่อยเท่านั้นเป็นของแถม ผมจึงรำพึงรำพันกับพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯว่า “ผมนั่งสมาธิมาตั้งหลายวันแล้ว ยังไม่ได้อะไรเลย นอกจากความปวดเมื่อย ทำอย่างไรผมจึงจะนั่งสมาธิได้ ถ้านั่งแล้วยังไม่ได้อะไร ผมก็คงจะไม่มาอีกแล้วครับ”
 
    จากนั้น ผมก็นั่งต่อไปอย่างปลงๆ ทำจิตให้ว่าง โดยไม่คิด ไม่คาดหวังอะไรทั้งสิ้น สักครู่ก็เกิดความรู้สึกโล่งๆว่างๆ ตัวขยายขึ้น รู้สึกเหมือนไม่มีแขน น้ำหนักตัวก็ไม่มี เบาเหมือนลอยอยู่เหนือพื้นที่นั่งอยู่สักประมาณหนึ่งฝ่ามือ แล้วใจก็ดิ่งวูบลง ผมตกใจจึงลืมตาขึ้นมาดูก็พบว่าแขนก็ยังอยู่ ตัวก็ยังอยู่…ผมจึงหลับตาทำสมาธิต่อ ก็รู้สึกว่าตัวขยาย เบา ไร้น้ำหนัก ผมก็ลืมตามาดูอีกด้วยความสงสัย ก็เห็นว่าทุกอย่างยังคงอยู่เหมือนเดิม
 
    จากนั้น ผมค่อยๆหลับตาลง ด้วยจิตที่ว่างเปล่าจริงๆ สักครู่ ตัวก็ขยายๆใหญ่ขึ้น แล้วก็รู้สึกเหมือนมีแสงสว่างเกิดขึ้นที่ใบหน้า แล้วสักพักก็ลงมาที่ลำตัว สว่างเหมือนแสงอาทิตย์ในยามเช้า ร่างกายก็ตั้งตรงโดยอัตโนมัติ ทั้งการวางแขนขา รู้สึกอบอุ่นสบาย ทั้งที่อากาศบนพนาวัฒน์หนาวมาก ความปวดเมื่อยหายไปหมดสิ้น
 
    จากนั้น ก็มีภาพปรากฏให้เห็นชัดเจน และมีรายละเอียดมากกว่าเวลาที่เราลืมตามองเสียอีก ผมมองภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้าไปเรื่อยๆ ท้องฟ้าเป็นสีแดง อากาศร้อนจัดมาก มีคนเดินอยู่เป็นร้อยเป็นพัน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เดินกันเข้ามาไม่ขาดสาย มีกำแพงสีเทาอยู่ด้านซ้าย มีผู้คุมใส่ชุดแดง ผิวดำ ตัวใหญ่แข็งแรง ในมือถือหอกสีขาวแหลมคมมาก ยืนอยู่เป็นจุดๆ ผมรู้สึกถึงความร้อน ความทรมาน และความสับสนหวาดกลัวของผู้คนที่เดินอยู่
 
    ผมมองเห็นภาพได้เพียงเท่านั้น ก็ถึงเวลาเลิก จึงค่อยๆลืมตาขึ้นมาพร้อมกับจิตใจที่สบายๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยความสงสัยผมจึงไปกราบเรียนถามพระอาจารย์ ท่านก็ตอบว่า “น่าจะเป็นบุญเก่าของโยม เมื่อโยมได้รู้แล้ว ก็ควรจะออกแบบผังชีวิตของตนเองให้ดีกว่านี้” *ผมอยากจะกราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า...สิ่งที่ผมเห็นมันคืออะไรครับ
 
[*พระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (คุณครูไม่ใหญ่): สิ่งที่เห็น คือ อบาย, เขาเรียกกุศลนิมิต เกิดขึ้นมา ฉายให้เห็นภาพแต่ปางบรรพ์ ให้เห็นว่า ถ้าขืนทำอย่างนั้นอีก อย่างน้อย...ก็อย่างนี้]
เรียบเรียงจากคำอธิบายของคุณครูไม่ใหญ่ในรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
 
    ต่อมา ผมก็ไปพนาวัฒน์เป็นครั้งที่สอง ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2551 ด้วยความคาดหวังว่า จะต้องนั่งสมาธิให้ดีกว่าครั้งที่แล้ว เมื่อลุ้น ผลก็คือ เละ เจอแต่ความมืด ความเมื่อย จนผมเริ่มปลง พอถึงวันที่ห้า ผมก็นั่งไปเรื่อยๆโดยไม่คาดหวัง สักครู่ ตัวก็ขยายขึ้นไปเรื่อยๆ รู้สึกว่างโล่ง เหมือนไม่มีอวัยวะใดๆเลย เบา ไร้น้ำหนัก...
 
    เกิดแสงสว่างที่กลางท้องแต่ไม่ถึงกับเจิดจ้ามากนัก แล้วเกิดความรู้สึก ดิ่งวูบไปชั่วขณะ แล้วมองเห็นตัวเองกำลังนั่งสมาธิอยู่ เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เป็นชุดเดียวกับที่กำลังใส่อยู่ และตัวผมก็กลายเป็นองค์พระ มองเห็นองค์พระทั้งหมด ในมุมสูงประมาณ 25องศา ห่างจากกายหยาบที่เราเห็นราว 2-3เมตร แปลกที่แม้เห็นมุมเดียว แต่กลับมองเห็นได้ทุกด้าน
 
    ต่อมา ก็พิจารณาเห็นว่า กายหยาบนั้น มีรูป เสียง กลิ่น รส ไม่สะอาด เหมือนเทียนไขที่ถูกจุดขึ้นและดับไปแล้ว มีเขม่าเกาะติดอยู่ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจ เป็นสิ่งที่ไม่น่ายึดถือไว้ ไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง ผิดกับองค์พระที่จิตเราเกาะอยู่ ใสสะอาด ไม่มีมลทิน บริสุทธิ์ ปราศจากวัชพืชทางใจ และฉลาดกว่ากายหยาบมาก มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ว่ามันไม่เที่ยงแท้ ไม่มีสาระสำคัญแต่อย่างใด ผมปีติสุขกับการได้เข้าไปเป็นองค์พระ เกิดความเชื่อมั่นว่า ตายแล้วไม่สูญอย่างแน่นอน
 
    ผมได้ขึ้นพนาวัฒน์อีกเป็นครั้งที่สาม ในเดือนมีนาคม พ.ศ.2551 แม้ผลการปฏิบัติธรรมจะไม่เหมือนสองครั้งแรก แต่ก็รู้สึกเบาสบายในช่วงที่ปฏิบัติธรรม พอกลับจากพนาวัฒน์ ก็ต่อด้วยการบวชบูชาธรรม รุ่น 64ปี พระราชภาวนาวิสุทธิ์
 
    ถึงจะบวชระยะสั้นเพียงแค่สามเดือน แต่วัดก็ให้อะไรกับผมมากมาย ได้เรียนรู้การเป็นพระและพุทธศาสนิกชนที่ดี ได้รู้มโนปณิธานของหมู่คณะ ได้มีโอกาสได้ร่วมบุญใหญ่ๆมากมายตลอดระยะเวลาที่บวชอยู่ ได้รู้เรื่องราวความจริงของชีวิต ทำให้ทราบว่า แท้จริงแล้วเรามีกายนี้เพื่อสร้างบุญสร้างบารมี เพื่อจะได้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร
 
    ในวันที่ผมลาสิกขา ผมน้ำตาไหล คิดถึงผ้าเหลืองที่เคยห่ม บาตรที่เคยอุ้ม กลดที่เคยนอน หากเสร็จภารกิจทางโลกแล้ว ผมจะบวชอีกครั้งครับ
 
    ชีวิตของผมในปัจจุบัน ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว มีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ผมรักษาศีล เลิกเที่ยวกลางคืน เลิกดื่มสุรา คอยเล่าธรรมะให้เพื่อนๆ ทั้งยังแนะนำให้คุณแม่นั่งสมาธิหลังจากที่ใส่บาตรหรือทำบุญแล้ว เพราะจะทำให้ใจเป็นระเบียบได้ง่าย ผมจะนั่งสมาธิต่อไปเรื่อยๆ เพราะสมาธิทำให้ผมมีความสุข และมีกำลังใจมากขึ้นครับ
 
กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง
 
ไพรวัลย์ สิงห์โต


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
พลังที่หายไปพลังที่หายไป

จิตสงบ ลมหยุดไหวจิตสงบ ลมหยุดไหว

ทำใจสบายๆ ไม่รีบ ไม่เร่งทำใจสบายๆ ไม่รีบ ไม่เร่ง



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ