ชาดก 500 ชาติ
สรภชาดก-ชาดกว่าด้วยละมั่งทำคุณแก่พระราชา
ท้าวสุยามทรงเชิญวาลวิชนี ท้าวสหัมบดีพรหมทรงเชิญฉัตร เทพดาในหมื่นจักรวาลพากันบูชาด้วยของหอมและมาลาอันเป็นทิพย์ พอพระศาสดาเสด็จประทับ
ณ เชิงบันได พระสารีบุตรเถรเจ้าถวายบังคมเป็นประถมทีเดียว บริษัทที่เหลือพากันถวายบังคมทีหลัง พระศาสดาทรงดำริในสมาคมนั้นว่า
ผู้อื่นที่จะได้นามว่ามีปัญญาเสมอเหมือนเธอไม่มีเลย เราต้องกระทำปัญญาคุณของเธอให้ปรากฏไว้ ครั้งนั้นพระองค์ทรงตั้งต้นถามปัญหาของปุถุชนก่อน
พวกปุถุชนก็พากันกราบทูลแก้ปัญหานั้น ต่อจากนั้นทรงถามปัญหาในวิสัยแห่งเหล่าพระโสดาบัน เหล่าโสดาบันเท่านั้นก็พากันกราบทูลแก้ปัญหานั้น
ปัญหานั้นพวกปุถุชนไม่รู้เลย
ที่สูงขึ้นไปนั้นเลย ท่านที่ดำรงในภูมิสูง ๆ เท่านั้น พากันกราบทูลแก้ แม้ถึงปัญหาในวิสัยแห่งอัครสาวก พระอัครสาวกกราบทูลแก้ได้ พวกอื่นไม่รู้เลย
ไปยังพระสารีบุตร ตั้งแต่บัดนั้นคุณคือปัญญาอันมากของพระเถระเจ้าเถรเจ้าก็ได้ปรากฏไปในกลุ่มเทพยดาและมนุษย์
“ ท่านเป็นผู้เดียวที่สามารถถกปัญหายาก ๆ นั้นได้ ” ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสถามปัญหาในพุทธวิสัยกับพระสารีบุตรว่า “ ชนเหล่าใดเล่า มีธรรมอันกำหนดได้แล้วสิ
ชนเหล่าใดเล่าที่ยังต้องศึกษา มีจำนวนมากในธรรมวินัยนี้ ดูก่อนท่านผู้ไร้ทุกข์ เธอมีปัญญารักษาตัวรอด ถูกเราถาม เชิญบอกความเป็นไปแห่งชนเหล่านั้นแก่เรา
ดังนี้ สารีบุตร เธอพึงเห็นความแห่งภาษิตโดยย่อนี้ได้โดยพิสดาร อย่างไรเล่าหนอ
อันปฏิปทาทางบรรลุอาจกล่าวแก้ได้ โดยมุขเป็นอันมากด้วยอำนาจขันธ์เป็นต้น พระศาสดาทรงทราบว่า สารีบุตรหมดสงสัยในข้อปัญหา แต่ยังกังขาในอัธยาศัย
ของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงประทานนัย ปัญหานั้นกระจ่างแก่พระเถระเจ้าตั้งร้อยนัยพันนัย ท่านยึดตามนัยที่พระศาสดาประทาน กราบทูลแก้ปัญหา
ในพุทธวิสัยได้ หลังจากวันนั้นเหล่าพวกภิกษุพากันนั่งในธรรมสภากล่าวถึงคุณคาถาของพระเถระเจ้าในวันหนึ่ง “ ผู้มีอายุทั้งหลาย พระสารีบุตรมีปัญญามาก
มีปัญญาหลักแหลม มีปัญญาว่องไว มีปัญญาคมคาย กราบทูลความแก้ปัญหาที่พระทศพลตรัสถามโดยย่อได้อย่างพิสดาร ”
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัสเล่า ดังต่อไปนี้ ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ พระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดละมั่งอาศัยอยู่ในป่า พระราชาทรงพอพระหฤทัยในการล่าเนื้อ ทรงสมบูรณ์ด้วยพระกำลัง ถึงกับไม่ทรงนับมนุษย์อื่น
ว่าเป็นมนุษย์ไปเลย “ เอาล่ะ คราวนี้เราจะต้องล่าเนื้อให้ได้ พวกเจ้าต้องคอยต้อนสัตว์พวกนั้นไว้ให้ดี หากมันหนีไปได้ข้างผู้ใด เราต้องลงอาญา
แก่ผู้นั้น ”
พวกสัตว์จะหนีออกไปได้อย่างไร มีช่องทางเดียวที่จะวิ่งไปได้ก็คือ ตรงพระเจ้าพรหมทัตนี่แหละ ” ครั้งนั้นพระเจ้าพรหมทัตเห็นตัวละมั่งตัวหนึ่ง และหมายมั่น
ที่จะล่าเนื้อตัวนี้ให้ได้ เหล่าทหารได้กระทำกติกากำหนดช่องทางกัน พากันล้อมละเมาะใหญ่ไว้ ตีแผ่นดินด้วยไม้พลองเป็นต้น ละมั่งพระโพธิสัตว์ลุกขึ้นเลาะ
ละเมาะไป ๓ รอบ เมื่อจะหนีก็มองดูช่องทางที่จะหนี มองไปรอบทิศ ทุกทิศเห็นฝูงคนยืนถือธนูรายเรียง แขนจรดแขน ธนูจรดธนู
เป็นช่องอยู่ “ เอ๊ะ ตรงนั่นมีช่องว่างอยู่นี่ มีทางรอดแล้วเรา ” ละมั่งนั้นจึงวิ่งไปตรงหน้าพระราชา เหมือนขว้างทรายใส่ตาที่กำลังลืม พระราชาเห็นละมั่งนั้นมา
ด้วยกำลังแรง ก็ปล่อยลูกศรไปเต็มแรงหมายจะปลิดชีวิตสัตว์นั้นให้ได้ “ มาแล้ว มาแล้ว เจ้าละมั่งเอ๋ย เสร็จเราแน่ ๆ ” ธรรมดาฝูงละมั่งเป็นสัตว์ฉลาด ที่จะ
ลวงผู้ล่าได้ เมื่อลูกศรมาตรงหน้ามันก็หมอบเสียโดยเร็วแล้วหยุดนิ่ง เมื่อลูกศรมาข้างหลังก็วิ่งไปโดยรวดเร็ว เมื่อลูกศรมาทางเบื้องบนก็เอี้ยวหลังเสีย
กระจายไป ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อพระราชาเล็งลูกศรแล้วปล่อยให้ลูกธนูออกมาทางเจ้าละมั่ง มันรีบหมุนตัวล้มลงกับพื้น พระราชาเห็นดังนั้นก็ทรงดีพระทัย เข้าใจ
ว่าพระองค์ได้ยิงถูกมันแล้ว “ เรายิงละมั่งได้แล้ว เราทำได้แล้ว ” ทันใดนั้นละมั่งกลับผลุดลุกวิ่งหนีโดยเร็วปานลม ทำลายวงล้อมไปได้ “ อะไรกัน เรายิงมันแล้ว
ไม่ใช่หรือ เจ้าละมั่งนั่นหนีไปทางไหนกัน เจ้าผู้ใดที่ปล่อยให้มันหนีไปได้ ” “ ทางพระองค์พระเจ้าค่ะ พวกกระหม่อมได้ล้อมวงกันอย่างดีแล้ว ไม่มีช่องให้เจ้าละมั่ง
หนีไปได้เลย
กับพื้นแล้วนี่น่า ” “ อะไรกันพะยะค่ะ ที่พระองค์ทรงยิงได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” “ ชาวเราเอ๋ย พระราชาของเราทั้งหลาย ทรงยิงไม่มีพลาดเลย พระองค์ทรงยิงแผ่นดินได้
แล้วล่ะ ” “ พวกนี้เยาะเราได้ ช่างไม่รู้ฝีมือของเราบ้างเลย เราต้องแสดงการใช้พระขรรค์จับละมั่งให้พวกเหล่านี้ดูสะแล้ว ” พระเจ้าพรหมทัตรู้สึกเสียหน้า
ที่เจ้าละมั่งหนีไปได้ พระองค์ทรงถือพระขรรค์แล้วทรงวิ่งเข้าไปทางที่เจ้าละมั่งหนีไปโดยเร็ว
มีบ่อลึกเป็นเหวประมาณ ๖๐ ศอก เกิดจากไม้ใหญ่ผุ บ่อนั้นมีน้ำประมาณ ๓๐ ศอก หญ้าคลุมมิดชิด “ หา ได้กลิ่นน้ำนี่น่า สงสัยทางข้างหน้าต้องเป็นบ่อน้ำแน่
วิ่งหลบไปเสียดีกว่า ” “ จะหนีไปไหนเจ้าละมั่ง เราจะต้องจับเจ้าให้ได้ ” พระเจ้าพรหมทัต ไม่ทราบว่ามีบ่อลึกอยู่ข้างหน้าพระองค์วิ่งมาอย่างเร็วไม่ทันได้หลบ
จึงตกลงไปในหลุมนั้น ละมั่งเมื่อไม่ได้ยินเสียงพระบาทของท้าวเธอก็เข้าใจว่าคงตกลงในหลุมลึกเสียแล้ว จึงเดินกลับมาหา
ทำการปลอบพระราชา แล้วให้ขึ้นหลังพาออกจากป่าส่งลง ณ ที่ไม่ห่างเสนา “ จากนี้ไปขอให้พระองค์ทรงดำรงอยู่ในศีล ๕ เถิด เราไปล่ะ ” “ ข้าแต่พญาละมั่ง
ผู้เป็นนาย เชิญท่านมาสู่พระนครพาราณสีพร้อมกับเราเถิด เราจะถวายราชสมบัติในเมืองพาราณสี มีประมาณ ๑๒ โยชน์ให้แก่ท่าน ท่านจงครองราชสมบัตินั้นเถิด ”
แม้ชาวแว่นแคว้นรักษากันด้วยเถิด ” ท้าวเธอมีพระเนตรนองด้วยพระอัสสุชล ทรงรำลึกถึงคุณของละมั่งนั้นเรื่อยมา ครั้นเสนามาพร้อมกระบวนแล้วทรง
แวดล้อมด้วยเสนาเสด็จไปพระนคร ตรัสให้นำธรรมเภรีไปเที่ยวตีป่าวร้อง ให้ชาวแว่นแคว้นทั่วหน้าพากันรักษาศีล ๕ แต่ตอนนั้นพระองค์ก็ไม่ได้เล่า
คุณที่พระมหาสัตว์กระทำไว้แก่พระองค์ให้ใคร ๆ ฟัง
บรรทมเหนือพระที่บรรทมอันอลงกต ครั้นเวลาใกล้รุ่ง ทรงระลึกถึงคุณของพระมหาสัตว์ จึงเสด็จลุกขึ้นประทับนั่งขัดบัลลังก์เหนือพระยี่ภู่ มีพระหฤทัยเปี่ยม
ด้วยพระปีติทรงเปล่งพระอุทาน
คนที่ไม่ใฝ่ฝันถึงเลยก็ต้องเข้าถึงความตาย.
ได้ยินเสียงพระอุทานของท้าวเธอ ดำริว่า “ เมื่อวานพระราชาเสด็จไปล่าเนื้อ คงจักยิงละมั่งนั้นผิด ครั้นถูกพวกอำมาตย์มายั่วเย้า ก็ทรงติดตามละมั่งนั้น
ด้วยความขัตติยมานะว่าจักฆ่าเสีย หิ้วมันมา เลยไปตกเหวลึก ๖๐ ศอก พญาละมั่งมีใจสงสาร มิได้คิดถึงโทษของพระราชา คงจักช่วยพระราชาขึ้นได้
เห็นจะเป็นด้วยเหตุนั้น ท้าวเธอจึงทรงเปล่งอุทาน ”
แก่ผู้ส่องหน้าที่กระจกเจียระไนฉะนั้น “ ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้าพระองค์ทราบเหตุการณ์ที่พระองค์กระทำไว้ในป่า พระองค์ทรงติดตามละมั่งตัวหนึ่งไป
ตกเหว ครั้นแล้ว ละมั่งนั้นกระทำการถมด้วยศิลาช่วยพระองค์ขึ้นจากเหวลึก พระองค์นั้นทรงรำลึกถึงคุณของละมั่งนั้น ทรงเปล่งพระอุทานแล้ว พระเจ้าข้า ”
“ ไม่น่าเชื่อ ท่านปุโรหิตท่านทราบเรื่องราวนี้ได้อย่างไรกัน ท่านอยู่ในเหตุการณ์อย่างนั้นรึ เอ๊ะ หรือว่ามีใครรู้แล้วนำเรื่องนี้ไปบอกท่าน ”
ย่อมนำเนื้อความแห่งบทคาถาที่พระองค์ทรงภาษิตแล้วมาใคร่ครวญดูพระเจ้าข้า ” เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พระราชาทรงโปรดปุโรหิตท่านนี้มาก พระองค์ทรง
พระราชทานทรัพย์เป็นอันมาก ตั้งแต่นั้นก็ได้ทรงอภิรมย์แต่การบุญ มีทาน ฝูงชนเล่าก็พากันอภิรมย์แต่การบุญ ที่ตายไปแล้วแน่นเนืองสวรรค์ อยู่มาวันหนึ่ง
พระราชาทรงดำริว่าจักทรงยิงเป้า ตรัสชวนปุโรหิตเสด็จสู่พระอุทยาน
ครั้งนั้นท้าวสักกะเทวราชทอดพระเนตรเห็นเทวดาและเทพกันยาใหม่ ๆ มากมาย พระองค์ทรงใช้ญาณวิเศษทราบไปถึงเรื่องที่พระราชาขึ้นจากเหวได้
เพราะละมั่ง แล้วทรงชักชวนให้ประชาชนดำรงอยู่ในศีล “ มหาชนพากันทำบุญด้วยอานุภาพของพระราชา เหตุนั้นแหละเทวโลกจึงบริบูรณ์ เราจักต้องทดลอง
ท้าวเธอดูบ้าง ” ท้าวสักกะคิดได้ดังนั้นก็เหาะลงมายังอุทยาน เมื่อพระเจ้าพรหมทัตทรงโก่งธนูสอดลูกศร ทันใดนั้นท้าวสักกะก็แสดงรูปละมั่งให้ปรากฎ
ระหว่างพระราชาและเป้า ด้วยอนุภาพของท้าวเธอ พระราชาทรงเห็นแล้วก็ไม่ได้ปล่อยลูกศร “ เอ๊ะ นั่นพญาละมั่งนี่ ไม่ได้ ๆ เรายิงไม่ได้ ” ทันใดนั้น
ท้าวสักกะก็เข้าทรงในสรีระของปุโรหิตแล้วกล่าวกับพระเจ้าพรหมทัต “ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระปรีชาอันประเสริฐ พระองค์ทรงสอดลูกศรอันมีปีก อันจะ
กำจัดความแกล้วกล้าของปรปักษ์ได้เข้าในแล่งแล้ว จะทรงลังเลอะไรอยู่อีกเล่า ลูกศรที่ทรงยิงไปแล้วต้องฆ่าละมั่งได้ทันที ละมั่งนี้คงเป็นพระกระยาหาร
ของพระราชาได้โดยแท้ ”
“ แม้เราจะรู้จักชัดความข้อนี้ว่า เนื้อเป็นอาหารของกษัตริย์ ก็แต่ว่าเราจะบูชาคุณที่ละมั่งได้ทำไว้แก่เราในครั้งก่อน เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่ฆ่าละมั่งนี้ ” “ ข้าแต่
มหาราชาผู้เป็นใหญ่แห่งทิศ นั่นมิใช่เนื้อ นั่นเป็นท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าอสูร ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งมนุษย์ พระองค์จงทรงฆ่าท้าวสักกเทวราชนั้นเสีย แล้ว
จักได้เป็นใหญ่ในหมู่อมรเทพ ” “ ข้าแต่พระราชาผู้องอาจประเสริฐกว่านรชน ถ้าว่าพระองค์ยังทรงลังเลที่จะฆ่าละมั่งผู้ซึ่งเป็นพระสหาย
พระองค์พร้อมด้วยพระราชโอรส และพระราชชายา จักต้องไปยังเวตรณีนรกของพญายม ”
“ ถึงแม้ว่าเรา และชาวชนบททั้งหมด ลูกเมียและหมู่สหายจะพากันไปยังเวตรณีนรกของพญายมนั่นก็ตาม ถึงกระนั้น เราก็จะไม่ฆ่าผู้ที่ให้ชีวิตเราเป็นอันขาด ”
“ ละมั่งตัวนี้ทำคุณแก่เรา เมื่อคราวถึงความยาก ตัวคนเดียวในป่าเปลี่ยวแสนร้าย เราระลึกได้อยู่ถึงบุรพกิจเช่นนั้น ที่ละมั่งตัวนี้กระทำแก่เรา รู้คุณอยู่จะพึงฆ่าได้
อย่างไรกันเล่า ” ลำดับนั้น ท้าวสักกะออกจากสรีระท่านปุโรหิต นิรมิตอัตภาพเป็นท้าวสักกะสถิตบนอากาศ แล้วทรงแสดงพระคุณของพระราชา
“ ขอพระองค์ผู้ทรงโปรดปรานมิตรยิ่งนัก จงทรงพระชนม์ชีพอยู่ยืนนานเถิด พระองค์จงทรงปกครองราชสมบัติในคุณธรรมเถิด จงทรงมีหมู่นารีบำรุงบำเรอ
จงทรงบันเทิงพระหฤทัยในแว่นแคว้น เหมือนท้าววาสวะบันเทิงอยู่ในไตรทิพย์ฉะนั้น ”“ ขอพระองค์อย่าทรงพระพิโรธ จงมีพระหฤทัยผ่องใสอยู่เป็นนิตย์
ทรงกระทำสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมทั้งปวงให้เป็นแขกควรต้อนรับ
ครั้นทรงบำเพ็ญทานและเสวยบ้างตามอานุภาพแล้ว ชาวโลกไม่ติเตียนพระองค์ได้ จงเสด็จเข้าถึงสัคคสถานเถิด ” พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้
มาแล้วตรัสว่า “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อนสารีบุตรก็ย่อมรู้ความแห่งภาษิตโดยย่ออย่างพิสดารเหมือนกัน ”
ปุโรหิตในครั้งนั้น กำเนิดเป็น พระสารีบุตร
เนื้อละมั่ง เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า