ชาดก 500 ชาติ
รุหกชาดก-ชาดกว่าด้วยรุหกปุโรหิต
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ในพุทธกาลสมัยหนึ่ง เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังประทับอยู่ ณ พระวิหารวัดเชตวัน พรรษานั้นทรงมีพระกรุณาธิคุณ ปรารถความทุกข์ตรมของพระภิกษุ
รูปหนึ่ง ภิกษุนั้นเป็นมาณพวรรณะพราหมณ์ ที่ขอบวชในบวรพระพุทธศาสนา ตามความต้องการของภรรยาผู้เป็นที่รักยิ่ง เเต่เเล้วหญิงผู้นี้ก็กลับกลายเป็นผู้กระทำเหตุ
ภิกษุผู้ตรอมตรมเหตุเพราะภรรยาผู้เป็นที่รักได้กระทำหยามเกียรติตน
ให้ภิกษุนี้ตรอมตรมเเละอับอาย จนแทบไม่อาจครองผ้ากาสาวะอยู่ได้อีก “ โธ่ เอ๊ย ช่างหน้าอับอายเเท้ ๆ เเม้เเต่หญิงผู้เป็นที่รักยิ่งของเรา ยังเหยียดหยามเรา
ได้ขนาดนี้ชีวิตนี้มันช่างหน้าเศร้าเเท้ ๆ ” นางผู้เป็นภรรยาของพระภิกษุสงฆ์รูปนี้ เเต่เดิมเป็นชาวระบำผู้มีรูปโฉมงดงาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภเหตุความทุกข์ตรมของภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง
เมื่อมาใช้ชีวิตด้วยกันฉันสามีภรรยาได้ไม่นานนัก ก็เริ่มประพฤติเปลี่ยนไป “ เราเนี่ยช่างสวยจริงๆ มองไปทางไหนก็งดงาม รูปร่างรึก็ดี ได้ทรวดทรงงามยิ่งกว่า
หญิงนางใดในเมืองนี้ จะปล่อยไว้ไม่ได้ใช้ก็เสียดาย ” สามีหนุ่มผู้หมั่นประพฤติธรรมกับภรรยาสาวผู้รักความสนุก
ภรรยาสาวของพราหมณ์ซึ่งอดีตเคยเป็นนางระบำมาก่อน
การอยู่กินฉันสามีภรรยาที่นิสัยต่างกันนั้น นานวันเข้านางงามผู้นี้ก็เริ่มประพฤติตนห่างจากเรือนมากขึ้นทุกที “ จะไปตักน้ำอีกเเล้วรึ เมื่อกี้ก็ไปตักมาเเล้วนี่นา
น้ำในโอ่งก็ยังไม่พร่องเลย เธอจะออกไปตักอีกทำไมเล่า ” “ เชอะ พี่น่ะ นั่งสมาธิไปเถอะ อย่ามายุ่งกับฉันเลย ในบ้านเนี่ย มันไม่มีความสุข
ภรรยาของพราหมณ์เป็นหญิงสาวที่รักการแต่งตัวและเที่ยวเตร่ไม่ชอบอยู่บ้าน
ฉันก็ต้องออกไปหานอกบ้านน่ะซิ ” เมื่อความต้องการต่างกัน ภรรยาก็เเนะให้สามีออกบวชเป็นสมณะ ปฏิบัติธรรมไปตามใจจนสักพรรษานึง “ ตกลงจ๊ะ นี่อาจเป็น
การดีต่อเราทั้งคู่ก็ได้ ครบพรรษาเเล้วทุกสิ่งคงดีขึ้นนะจ๊ะ ” “ ชิ รีบไปบวชเลยไป คอยดูเถอะ หนึ่งพรรษาเนี๊ยฉันจะหาความสุขในสนุกสุดเหวี่ยงไปเลย ”
ภรรยาของพราหมณ์หนุ่มชอบหาเหตุออกไปนอกบ้านบ่อยจนผิดปกติ
เมื่อสามีออกบวชเป็นภิกษุในพระเชตวันของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นางงามผู้เป็นต้นคิดก็ประพฤติดุจนางระบำที่เคยเป็นมา “ ผู้หญิงสวย ๆ อย่างฉันล่ะนะ
ผู้ชายเห็นเป็นต้องหลงใหล ประทินโฉมขนาดนี้เนี่ย เเล้วผู้ชายคนไหนไม่มองก็ให้มันรู้ไป ” เมื่อมีโอกาสพบปะกัน นางผู้เป็นภรรยาเเต่เดิม ก็มักเย้ยหยันเสียดสีเอา
ตามวิสัยเก่า “ น้องมาอยู่กับพี่อย่างนี้เเล้ว พระท่านไม่ว่าอย่างไรรึ ”
พราหมณ์หนุ่มผู้มีนิสัยรักในการปฏิบัติธรรมอยู่เป็นนิจ
“ จะว่าได้อย่างไรได้อย่างไร ได้ล่ะจ๊ะพี่ ก็พี่ให้ความสุขน้องได้มากกว่านี้นี่นา ปล่อยท่านไปปฎิบัติธรรมเถิด ” มาณพหนุ่มผู้ถูกหลอกให้บวช แม้พบทางสว่าง
ในพระพุทธคุณก็ไม่อาจดับทุกข์นั้นลงได้ “ นี่เราไม่มีคุณค่าใด ๆ ให้เจ้ารักอีกเเล้วรึ เเม้เเต่ความนับถือเจ้าก็ไม่มีให้เราอีกเเล้ว โธ่ ”
ภรรยาสาวแนะนำให้สามีของตนออกบวช
ภิกษุหนุ่มตรอมตรมกับความทุกข์ของตนเอง ทั้งสุขภาพกายเเละจิตใจก็ทรุดโทรมลง ความทุกข์นั้นทำให้เขาไม่อาจฉันอาหาร หรือเข้าวิปัสนาบำบัดจิตได้
เพราะคำเย้ยหยันดูหมิ่นของอดีตภรรยาผู้นั้น “ การที่เราออกบวชนี้ไม่ได้ช่วยให้เรามีความสุขขึ้นเลย ครั้นจะสึกออกไปก็ไร้ภรรยาเคียงข้างเหมือนดังเดิม
จะทำอย่างไรดีกับชีวิตนี้ ”
ภิกษุหนุ่มได้ออกบวชในพระพุทธศาสนาตามคำแนะนำของภรรยาตน
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับเหตุอันเกิดขึ้นนั้น จึงมีพระกรุณาธิคุณยกข้อธรรมเทศนาเป็นอุทาหรณ์เเก่ภิกษุทั้งหลาย “ ดูก่อนภิกษุเอ๋ย ไม่ใช่เเต่
ครั้งนี้ที่ภิกษุหลอกลวงให้อับอาย ในอดีตครั้งโน้น เเม้เคยเป็นปุโรหิตของราชาก็เสียจริตมาเเล้ว ” ในอดีตยุคหนึ่งของมหานครพาราณสี มีราชาผู้ทรงธรรม
ปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเป็นปกติสุข
ภรรยาสาวได้มีชายอื่นหลังจากที่สามีหนุ่มผู้ใฝ่ธรรมได้ออกบวช
บำรุงบริหารประเทศโดยรวม ครั้งนั้นพระเจ้ากรุงพาราณสีมีปุโรหิตวัยกลางคนผู้หนึ่ง รับราชการมาด้วยความภาคเพียรเป็นที่รักใคร่ของพระราชา วันหนึ่งพระเจ้า
กรุงพาราณสีก็มีพระราชดำรัสในเข้าเฝ้า “ รุหกะเอ๋ย เราจะตอบเเทนความขยันของเจ้าด้วยรางวัลใหญ่อย่างหนึ่ง จงตามเราไปในอุทยานเถิด ” “ พระเจ้าค่ะ ”
ภิกษุหนุ่มทุกข์ใจและอับอายยิ่งนักกับการกระทำของอดีตภรรยาตน
รางวัลที่พระราชาประราชทานให้ปุโรหิตรุหกะครั้งนั้นเป็นอัสดรพ่วงพีพร้อมเครื่องประดับระดับม้าต้นตัวหนึ่ง “ นี่อย่างไร รางวัลสำหรับเจ้า จงรับเอาไปเป็น
พาหนะขับขี่เถิด ”ปุโรหิตรุหกะรับเอาม้าประราชทานทรงเครื่องม้าต้นงดงาม เดินอวดสายตาผู้คนไปทั่วอย่างภูมิใจ “ ได้ม้างามอย่างนี้ต้องอวดกันหน่อย
มาเจ้าม้า เดินไปทางโน้นอีกสักรอบ
พระผู้มีพระภาคทรงตรัสเล่า รุหกชาดก เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ภิกษุทั้งหลาย
พวกทหาร ข้าราชการอื่น ๆ เขาจะได้ชมกันทั่ว ๆ หรือว่าจะพาเจ้าเข้าไปในเมืองดี ผู้คนทั่วไปจะได้เห็นกันด้วย ” “ เฮ้อ เหนื่อยนะเนี่ย จะเดินอะไรกันนัก
กันหนา โอ้ยเหนื่อยขี้อวดจริง ๆ ” เมื่อมีข่าวปุโรหิตรุหกะได้ม้าต้นทรงเครื่องสวยงามมาใช้ทุกวันจึงมีผู้คนมารอชมม้านั้นตลอดเส้นทางที่ปุโรหิตใช้สัญจร
เมืองพาราณสี
“ โอ้ ม้าตัวนี้ของท่านปุโรหิต ช่างสง่างาม ยิ่งนัก คงเป็นบุญยิ่งนัก หากเราจะได้มีโอกาสนั่งเคียงข้างไปกับท่านบนม้าตัวนี้บ้าง ” “ ดูซิ เครื่องก็ตกเเต่งสวยงาม
เเพรวพราวระยับไปทั้งตัว ยิ่งได้เห็นใกล้ๆ ก็ยิ่งสง่างาม ท่านปุโลหิตจะมีน้ำใจชวนเราขี่ม้านี้สักครั้งไหมนะ ” “ โชคดีจริงๆ ที่ได้ม้าตัวนี้มา
ปุโรหิตรุหกะได้เข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงพาราณสีตามรับสั่ง
ดูซิสาวๆ มารุมล้อมกันใหญ่ เมื่อก่อนไม่เห็นมีมาเลยสักคน ” “ แหม สาวๆ เขามาดูม้า ไม่ได้มาดูคน นี่เราก็หล่อไม่เบาเลยนะเนี่ย ดูซิ สาวๆ มาชมกันใหญ่
ชักเขินล่ะ ” “ ว้าว ท่านปุโรหิตคะ เท่มากเลยค่ะ มาทางนี้หน่อยซิคะ ฉันอยากจะมองดูท่านใกล้ๆ สักครั้ง ” “ นั่นซิคะ 2-3 วันนี้ใครๆ ก็รอชมบุญท่านทั้งนั้น
พระราชาทรงพระราชทานม้าให้แก่ปุโรหิตรุหกะ
ขอฉันได้นั่งเคียงข้างท่านสักครั้งจะได้ไหมคะ ” “ ฉันก็อยากนั่งเคียงข้างท่านเหมือนกันค่ะ ” “ ดูซิ เท่มากเลย สง่างามจริง ๆ ” ปุโรหิตรุหกะมีความสุขทุกครั้ง
ที่ขี่ม้าผ่านชุมชนแม้กลับเข้าบ้านเรือนก็ยังสุขใจไม่สุดสิ้น “ ฮ่า ๆ ๆ เพราะเจ้าเเท้ ๆ สาว ๆ เลยมารุมข้ากันใหญ่คนทั่วไปก็ชมกันตลอดทางมีความสุขจริง ๆ ฮ่าๆๆ ”
ม้าที่รับพระราชทานทรงเครื่องม้าต้นอย่างงดงาม
ส่วนภรรยาของปุโรหิตรุหกนั้นแม้จะไม่ชอบใจที่ใครมายกยอสามี ยิ่งมีสาว ๆ มาใกล้ก็ยิ่งขุ่นเคืองแต่นางก็ไม่ได้แสดงออกมาตรง ๆ “ ทำเป็นมีความสุข
ชิ หมั่นไส้ อุ๊ย กลับมาแล้วหรือคะท่านพี่ ไปพักผ่อนเถิดกลับมาเหนื่อย ๆ น้องจะดูแลม้าให้เอง ท่านพี่ไปอาบน้ำให้สบายตัวเถอะนะจ๊ะ ”
ชาวเมืองต่างพากันชื่นชมบารมีและความงดงามของม้าพาหนะประจำตัวของท่านปุโรหิต
“โอ้ ดีเหมือนกันเหนียวตัวเหลือเกินแล้ว งั้นฝากเจ้าดูแลด้วยละกันนะดูให้ดี ๆ ล่ะ” นางผู้นี้เป็นพราหมณี รู้จักคิดพิจารณาเมื่อพิจดูม้าประราชทานก็มีความคิดอ่าน
จัดการเรื่องที่ตนไม่ชอบใจขึ้นได้ “ ไม่ได้การ ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้เนี่ยนะ นานเข้าสามีของเราเนี่ยก็ต้องเอาใจออกห่างจากเราไปมีใจกับหญิงอื่น ๆ ที่มาลุมล้อมเเน่ๆ
ภรรยาของปุโรหิตคิดวางแผนไม่ให้ผู้คนหลงไหลและชื่นชมม้าและตัวสามีของนาง
ต้องตัดไฟเเต่ต้นลมเพื่อความสบายใจของเรา” “ รู้สึกเสียวสันหลังยังไงก็ไม่รู้ เหมือนมีรังสีอำมหิตเพ่งมาทางนี้ ” ภรรยาปุโรหิตเมื่อคิดเเผนการได้ ก็ลงมือ
ถอดเครื่องประทับของม้าออกจนหมดเเล้วทำเสียงตื่นเต้น เรียกผู้เป็นสามีออกมาดู “ ท่านพี่ ท่านพี่ออกมาดูนี่เร็ว
ภรรยาของปุโรหิตได้ถอดเครื่องประดับบนตัวม้าออกทั้งหมด
น้องรู้เเล้วละว่าอะไรทำให้คนทั้งหลายเนี่ยชื่นชมม้าตัวนี้ ดูสิท่านพี่ เร็วเข้า ” “ นั้นไง ว่าแล้วเชียว มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับตูแน่ ๆ งานนี้ ” “ ไหนไหนไหน มีอะไร
เจ้าเรียกเรามาดูอะไร ” “ ก็นี่ไงท่านพี่ดูสิ ม้าตัวนี้ มันงามได้ก็เพราะมีเครื่องประดับหรอก หากของงาม ๆ พวกนี้มาประดับบนตัวท่านพี่บ้าง
ภรรยาได้บอกปุโรหิตไปว่าม้านั้นไม่ได้สวยสง่าเลยเมื่อถอดเครื่องประดับออกแล้ว
ชาวบ้านเนี่ยก็จะหันมาชมท่านพี่โดยตรงท่านพี่น่ะจะได้ดูดีสง่างามด้วยตัวเองของตัว ไม่ต้องพึ่งม้าเเล้วล่ะจ๊ะ ” “ โอ้ยจะบ้าตาย คิดได้ไงเนี่ย ม้าล่ะเซ็งเลย ”
นางภรรยาพูดโน้มน้าวเเกมบังคับจนปุโรหิตรุหกะเห็นดีเห็นงามไปด้วย ยอมเอาเครื่องม้ามาประดับตัว
ภรรยาของปุโรหิตได้แนะนำให้ท่านปุโรหิตสวมเครื่องประดับของม้า
“ เชื่อน้องเถิด ท่านพี่ลองสวมเเล้วเดินให้ชาวบ้านดูเถิด เขาจะชมท่านเป็นเเถวเเน่ ๆ ดูสิ ท่านเเต่งอย่างนี้เเล้วก็งาม ๆ ถ้าท่านเเต่งเครื่องม้าต้นไปเข้าถวายงาน
อย่างนี้ ย่อมดีกว่าทุก ๆ วันเเน่จ๊ะ เท่สุดๆ ไปเลยนะเนี่ย ดูดีกว่าม้าตัวนั้นอีก” เเล้ววันนั้นก็เป็นวันพิศดารของปุโรหิตเเท้ ๆ เมื่อทุกคนพบเห็นต่างก็ขบขัน
ปุโรหิตรุหกะได้สวมเครื่องประดับของม้าตามที่ภรรยาแนะนำ
“ ภรรยาเรานี่ก็ช่างคิด ดูสิใส่ชุดนี้เเล้วเราดูดีขึ้นมาจริง ๆ ต้องเดินอวดชาวบ้านหน่อยล่ะ ลองดูหน่อยว่ามันได้ผลตอบรับอย่างไรบ้าง ” “ อ้าว เอาชุดม้าไปใส่ซะงั้น ”
ท่านปุโรหิตรุหกะเดินจากบ้านไปสู่พระราชวัง ตลอดทางก็ได้ยินผู้คนทักทายชื่นชมในตัวท่านตลอดทาง เเต่นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขาเคารพนับถือไม่อาจวิพากษ์
เอาตามความจริงได้นั่นเอง
ชาวบ้านต่างพากันแอบขำที่ท่านปุโรหิตรุหกะได้สวมเครื่องประดับของม้า
“ ท่านพ่อดูสิ วันนี้ท่านปุโรหิตกินอะไรเพี้ยนมารึป่าว อยู่ ๆ ก็เอาชุดม้ามาสวม ตลกจริง ๆ อย่าได้พูดเสียงดังไปท่านได้ยินเข้าจะไม่ดี ในเมื่อท่านกล้าเเต่งมา
เราก็ต้องกล้าชมท่านนะลูกเอ๋ย โอ้โห้ท่านปุโรหิตวันนี้เท่ไม่เบาเลยนะท่าน ชุดนั่นงามไปทั้งตัวเลย” “ เท่ไม่เหมือนใครเลยนะคะ เด่นสุด ๆ ” “ ขอบใจพวกท่านมาก
พระเจ้าพาราณสีได้ติติงการกระทำที่ไม่เหมาะสมของท่านปุโรหิต
เบื่อจริง ๆ เลย คนพวกนี้ชอบชมกันเรื่อย เขินนะเนี่ย ” ปุโรหิตปลาบปลื้มกับคำชื่นชมนั้นได้ไม่เท่าไหร่ เมื่อเดินผ่านพระพักตร์พระเจ้าพาราณสี
ความเป็นจริงก็ปรากฏให้รู้ “ อาจารย์รุหกะท่านวิปริตไปเเล้วเหรอเนี่ย ไฉนประพฤติเช่นนี้ ท่านเอาชุดม้านั้นมาใส่เพื่ออะไรกันดูน่าตลกสิ้นดี ”
“อ้าว ๆ ไม่ดูหล่อเหลาหรอกหรือ เอาแล้วไง ภรรยาทำตูแล้วไง ”
รุหกะปุโหหิตได้บอกเหตุผลที่ตนได้สวมใส่เครื่องประดับของม้า
พระเจ้ากรุงพาราณสีสดับเรื่องราวก็รู้ว่าเป็นด้วยความริษยาของนางพราหมณี ภรรยาปุโรหิตผู้ชี้ผิดให้เป็นชอบให้กับสามีนั่นเอง ท่านรุหกจงยกโทษให้นางเถิด
จงทำดีต่อกันเหมือนผูกสายธนูที่ขาดเเล้ว ย่อมใช้ได้ดีดังเดิมเถิด “ พระเจ้าค่ะ เศร้าเลยเรา ” ปุโรหิตไม่ได้ลงทัณฑ์ภรรยาเพียงส่งกลับไปภูมิลำเนา
รุหกะปุโรหิตได้หาคนมาทำหน้าที่แทนภรรยาของตนที่ถูกลงทัณฑ์ให้กลับไปยังภูมิลำเนาของนาง
แล้วหาสตรีอื่นเข้ามาทำหน้าที่เเทน อีกทั้งตัวท่านก็กลับมาเจริญภาวนาควบคุมจิตมิให้เเส่ส่ายได้อีกต่อไป “ ครั้งที่เเล้วเราผิดเองที่เชื่อคนโดยง่าย
เอาเถิดครั้งต่อไปจะไม่เป็นเช่นนี้อีกเเล้วพุทโธ พุทโธ ” สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจบพระธรรมเทศนา ภิกษุผู้ทุกข์โศกก็เห็นความจริงพบโสดาปัตติผล
ทรงประชุมชาดกสู่พุทธกาลนั้น
ปุโรหิตรุหกะ กำเนิดเป็น ภิกษุหนุ่ม
นางพราหมณี กำเนิดเป็น ภรรยา
พระเจ้ากรุงพาราณสี เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า