อะไร...จะง่ายขนาดนั้น


[ 13 ม.ค. 2552 ] - [ 18270 ] LINE it!

ผลปฏิบัติธรรม

กัลยาณมิตร เปรมวาทิต ยุรชิตภมรชัย
 
กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง
 
    ผมชื่อ เปรมวาทิต ยุรชิตภมรชัย อายุ 30ปี ปัจจุบันได้มีโอกาสเข้ามารับบุญทำหน้าที่สอนหนังสือวิชาภาษาสเปน ในโครงการดวงตะวันสันติภาพ สถาบันภาษานานาชาติ ศูนย์ปฏิบัติธรรมเบญจซับสวรรค์ จังหวัดนครราชสีมา
 
    ภาษาสเปน ถือเป็นภาษาที่สองของโลกเลยก็ว่าได้ มีการพูดและใช้มากที่สุดภาษาหนึ่ง และผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้รับเลือกให้มารับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนภาษาสเปน ซึ่งผมจะขอทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดครับ
 
    ผมเข้ามาวัดพระธรรมกายเป็นครั้งแรก โดยการชักชวนของ กัลยาณมิตร ปัญญ์ประภัส และ กัลยาณมิตรปัด ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่มาเรียนภาษาสเปนกับผม ทุกๆครั้งที่มาเรียน ทั้งสองจะแต่งกายด้วยชุดเสื้อสีขาว และกระโปรงสีกรมท่า จนทำให้ผมสงสัยว่า ทำไมต้องแต่งชุดอย่างนี้ และได้คำตอบว่า พวกเธอเป็นเจ้าหน้าที่ของวัดพระธรรมกาย
 
    หลังจากทั้งสองท่าน เรียนภาษาสเปนกับผมได้ไม่นาน ก็ได้มาปรึกษาว่า ตอนนี้ที่วัดมีโครงการเปิดอบรมภาษาต่างประเทศให้แก่สามเณร ที่โรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย พร้อมกับเชิญผมให้มาร่วมรับบุญสอนสามเณร ผมก็ตกปากรับคำทันทีอย่างไม่รอช้า และได้ดำเนินการสอนด้วยดีมาตลอด สามเณรทั้งหลายก็เรียนเก่งมากๆ สอนแล้วได้ดังใจผมทุกรูปเลยครับ
 
    การเรียนการสอนที่ผ่านมา ก็เป็นเพียงการสอนที่จำกัดด้วยเวลา เพราะผมมาสอนได้เพียงสัปดาห์ละ 1วัน วันละ 3ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าเทียบกับภาษาอื่นๆถือว่าน้อยมาก เพราะผมต้องทำงานประจำอยู่ที่บริษัท คือ ทั้งสอนหนังสือและเป็นมัคคุเทศก์ไปด้วย เวลามาสอนหนังสือก็ไม่มีเวลาที่จะเดินชมวัดเลย รู้จักเพียงแค่ทางเข้า-ออกวัด และโรงเรียนพระปริยัติ เท่านั้นเอง
 
    จนกระทั่ง พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้จัดโครงการดวงตะวันสันติภาพโลกขึ้น และผมมีโอกาสได้พูดคุยกับพระอาจารย์ผู้ดำเนินงานโครงการดังกล่าว ได้เห็นวิสัยทัศน์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผมจึงได้ตัดสินใจลาออกจากงานทางโลกมาทำงานให้พระศาสนาอย่างเต็มตัว ระหว่างที่รอโครงการเปิดทำการเรียนการสอน ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผมเห็นว่าตัวเองก็เป็นอาจารย์แล้ว แต่ยังไม่รู้จักวิธีการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง และยังไม่รู้ว่าวิชชาธรรมกายเป็นอย่างไรเลย แล้วจะสอนใครหรืออธิบายรายละเอียดต่างๆได้อย่างไร เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว จึงได้สมัครเข้ารับการอบรมสมาธิแก้วรุ่นที่32 ณ วัดกิ่วลม จังหวัดเชียงใหม่
 
    ระหว่างการอบรม วันแรก คือ วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2551 เป็นวันปฐมนิเทศ มีการสวดมนต์ทำวัตรเย็น และนั่งสมาธินิดหน่อย ผมรู้สึกเลยว่า แค่นั่งนิดเดียวก็งานเข้าซะแล้ว คือ ปวดขา ขาเป็นเหน็บ และปวดมากๆ ผมไม่มีสมาธิในการนั่งเลย
 
    วันต่อมา พระอาจารย์ได้บรรยายเกี่ยวกับการนั่งสมาธิ ทั้งเรื่องการหลับตาอย่างสบาย รวมถึงการนึกถึงองค์พระที่ศูนย์กลางกาย เหนือสะดือสองนิ้วมือ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า ณ ตอนนั้น ผมก็ค้นพบสิ่งที่ไม่เคยพบมาก่อนเลยในชีวิตนั่นก็คือ แสงสว่างแบบแปลกๆ เมื่อหลับตาก็เห็นเป็นแสงสว่าง และเมื่อเพ่งไปที่แสงสว่างนั้นก็พบศูนย์รวมเป็นแสงสีสว่างๆ ออกสีฟ้าๆ และผมรู้สึกได้ถึงการมองเห็นภายใน ในมุมมองแบบ Top-view สิ่งที่ผมมองเห็นนั่นก็คือ องค์พระ
 
    ในอารมณ์นั้น ผมรู้สึกได้ถึงความสบาย รู้สึกตัวตลอดเวลาและไม่รู้สึกเป็นเหน็บชาหรือปวดขาแต่อย่างใดเลย วันนั้น ผมสามารถนั่งได้ถึง 1ชั่วโมงครึ่ง หลังจากนั่งสมาธิแล้ว ผมก็เข้าใจว่า ทุกคนคงเห็นองค์พระกันเป็นเรื่องปกติ เพราะแต่ละคนที่เข้าอบรมล้วนแล้วแต่เข้าวัดกันมาก่อนแล้ว และเย็นวันนั้น ผมก็ได้สวดมนต์ทำวัตรเย็น
 
    แต่เนื่องจากผมยังสวดมนต์ไม่เป็น จึงต้องเปิดหนังสือสวด และรู้สึกประหลาดใจมาก เมื่อเปิดไปหน้าแรกของหนังสือสวดมนต์ และรู้สึกคุ้นๆกับภาพอะไรบางอย่าง เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที เพราะสิ่งที่ผมเห็น คือ รูป Top-view…ขององค์พระมองมุมสู ซึ่งเป็นมุมเดียวกับที่ผมเคยเห็นในกลางท้อง และผมก็มารู้ตอนหลังว่า น้องๆไม่ได้มองเห็นเหมือนผมทุกคน และทุกคนสรุปว่า ผมยังใสและใหม่อยู่ จึงมองเห็นองค์พระได้ง่าย แต่ผมก็งงเล็กน้อยว่า “จริงหรือ เรายังใสอยู่จริงหรือ แต่ไม่เป็นไรก่อนนอนคืนนี้จะลองใหม่อีกรอบ”
 
    ก่อนนอนวันนั้น ผมได้ทำการบ้านที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้ทำ ครบทุกข้อแล้วจึงนั่งสมาธิ เมื่อนั่งหลับตาแล้วทำแบบสบายๆ พอหลับตาก็มองไม่เห็นอะไรเลย มันมืดมิดสนิท...เงียบ แต่พอวางใจนิ่งสักพัก ผมก็เห็นแสงสว่างและเห็นองค์พระเหมือนกับที่เคยเห็นในช่วงเช้านี้
 
    วันต่อมา หลังจากทำวัตรเช้าเสร็จแล้ว ก็นั่งสมาธิช่วงสั้นคือ 1ชั่วโมง ผมรู้สึกว่าตัวโล่งๆ เหมือนนั่งลอยอยู่ในอวกาศ และรู้สึกว่าร่างกายกับจิตใจแยกจากกันได้ บางทีรู้สึกว่าขาจะเป็นเหน็บบ้าง เมื่อยหลังบ้าง แต่เมื่อกำหนดมองไปที่องค์พระ ก็จะลืมความรู้สึกเหล่านั้นไป มีน้องๆแอบกระซิบว่า ผมนั่งตัวตรงไม่ขยับเลย จริงๆแล้วผมไม่รู้หรอกว่า นั่งแล้วท่าออกมาเป็นอย่างไร รู้เพียงว่าเมื่อจิตจับอยู่กับองค์พระ ณ ตอนนั้นก็ไม่ได้นึกถึงอะไรอีกเลย
 
    ผมได้เรียนรู้เพิ่มเติมว่า เราสามารถตรึกนึกถึงองค์พระ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ดได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะทำกิจกรรมใดๆ ซึ่งผมก็สามารถตรึกได้เร็วมาก แค่นึกก็บังเกิดองค์พระทันที สามารถพูดหรือสนทนาไปพร้อมกับตรึกองค์พระได้ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องแปลกแต่จริงสำหรับผม
 
    ในบางครั้ง ตัวผมเองก็รู้สึกว่า “เราคิดไปเองหรือเปล่าหนอ อะไรจะนึกหรือเห็นได้ง่ายขนาดนั้น ขนาดน้องๆที่อบรมอยู่ด้วยกันบางคนถึงกับบอกว่ามืดสนิท มองไม่เห็นอะไรเลย ง่วงบ้าง หลับบ้าง” ผมจึงได้นำคำถามเหล่านี้ถามกับพระอาจารย์ ซึ่งท่านก็ได้อธิบายว่า “สิ่งที่เห็นนั่นแหละ คือ การมาถูกทางแล้ว” ผมก็รู้สึกดีใจเป็นอันมากและมีกำลังใจที่จะปฏิบัติธรรมต่อไป
 
    การไปปฏิบัติธรรมครั้งนี้ เป็นเวลาทั้งสิ้น 2อาทิตย์ แต่ได้ผลที่คุ้มค่ามากๆครับ ได้เรียนรู้อะไรมากมายที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยในชีวิต ได้เรียนรู้ความจริงที่เป็นจริงตลอดกาล ได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวพุทธในแบบอย่างของครูบาอาจารย์ทั้ง พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ และคุณยายอาจารย์ ทุกครั้งที่ผมได้ดูวีดีโอของทั้งสามท่าน ยิ่งทำให้เกิดพลังและความอุตสาหะเป็นทวีคูณ
 
    ที่ผ่านมาจวบจนปัจจุบัน ผมได้เดินทางมาถึงที่แห่งนี้ช้าไปสักหน่อย แต่นับจากวันนี้เป็นต้นไป ผมจะเป็นคนหนึ่งที่จะทำความฝันของพระเดชพระคุณหลวงพ่อให้เป็นจริงครับ
 
กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
 
เปรมวาทิต ยุรชิตภมรชัย


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
ธรรมทายาท ณ วัดพระธรรมกายซิดนีย์ธรรมทายาท ณ วัดพระธรรมกายซิดนีย์

รู้สึกเจ็บปวดกระดูก... หมอตรวจพบมะเร็งรู้สึกเจ็บปวดกระดูก... หมอตรวจพบมะเร็ง

Middle Way ที่ดูไบMiddle Way ที่ดูไบ



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ