อานุภาพหลวงปู่ ตอน ทำไม..พระของขวัญ (พระผงวัดปากน้ำ) ถึงศักดิ์สิทธิ์ และอานุภาพมาก


[ 13 มิ.ย. 2556 ] - [ 18256 ] LINE it!

 
ทำไม..พระของขวัญ (พระผงวัดปากน้ำ)
ถึงศักดิ์สิทธิ์ และอานุภาพมาก


 
          ในสมัยที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านผลิตพระผงปากน้ำหรือพระของขวัญออกมามากถึง 3 รุ่น รุ่นละ 84,000 องค์ ซึ่งรวมทั้ง 3 รุ่น ก็เท่ากับมีจำนวนมากถึง 252,000 องค์ เพราะพระของขวัญหลวงปู่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก มีชื่อเสียงถึงขนาดมีผู้คนจำนวนมหาศาลทั้งในประเทศและต่างประเทศ เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ไปรับพระของขวัญของหลวงปู่ที่วัดปากน้ำด้วยตัวเอง

          หลวงปู่ท่านมีดำริให้สร้างพระของขวัญขึ้น เพื่อหาทุนสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม ซึ่งท่านจะมอบให้กับญาติโยมที่มีกุศลศรัทธาร่วมบริจาคเงินทำบุญตั้งแต่ 25 บาทขึ้นไป เพื่อไว้เป็นเครื่องตรึกระลึกนึกถึงบุญ ซึ่งพระผงที่สร้างขึ้นนั้น เป็นรูปองค์สมเด็จพรสัมมาสัมพุทธเจ้าปางประทานพร ด้านหลังจารึกอักษรขอมว่า “ธรรมขันธ์” และหลวงปู่ตั้งชื่อว่า “พระของขวัญ”

          พระของขวัญนี้ เป็นพระผงที่มีส่วนผสมของดอกไม้หอมที่ใช้บูชาพระประจำเช้าเย็น เช่น ดอกมะลิ ดอกบัว เกสรดอกไม้ ซึ่งนำมาตากแห้ง แล้วป่นผสมกับผงแป้ง และที่สำคัญ คือ มีเส้นเกศาของหลวงปู่ผสมอยู่ด้วย ซึ่งหลังจากผสมเสร็จแล้วก็นำมาปั้นเป็นก้อน แล้วอัดเป็นบล็อกออกมา

          พระของขวัญนี้... หลวงปู่ท่านจะมอบให้ 1 องค์ ต่อ 1 คน เท่านั้นไม่ว่าคนนั้นจะทำบุญมากแค่ไหน ก็จะได้แค่องค์เดียว และที่สำคัญยังฝากรับแทนกันไม่ได้ หรือแม้รับไปแล้วถ้าทำหายไปจะมารับใหม่ก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะหลวงปู่บอกว่า “พระของขวัญแต่ละองค์นั้น..มีเจ้าของหมดแล้ว” ซึ่งก็หมายถึง หลวงปู่ท่านคำนวณเอากายละเอียดของผู้ที่ทำบุญกับท่านมา ทั้งในอดีตปัจจุบัน มาซ้อนกันในกลางพระของขวัญด้วยวิชชาธรรมกาย แล้วเชื่อมให้ติดกัน (ซึ่งจะเข้าใจเพิ่มขึ้นก็ต่อเมื่อได้มานั่งสมาธิจนเข้าถึงพระธรรมกาย และได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย)

          การรับพระของขวัญ ต้องรับจากมือหลวงปู่ ถึงจะศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพราะเวลาหลวงปู่มอบให้ ท่านจะใช้วิชชาธรรมกายบรรจุพระของขวัญซ้อนติดลงไปในศูนย์กลางากายของผู้รับด้วย และเมื่อบรรจุแล้ว พระนิพพานท่านก็จะซ้อนความศักดิ์สิทธิ์ ผ่านพระของขวัญซึ่งเป็นเสมือนสื่อ ไปยังผู้เป็นเจ้าของพระของขวัญแล้วบันดาลให้ความปรารถนาของเจ้าของพระสำเร็จได้โดยง่าย

          การที่พระของขวัญของหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์และมีอานุภาพอันไม่มีประมาณได้นั้น เป็นเพราะหลวงปู่วัดปากน้ำท่านกราบทูลพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าทั้งหมดว่าจะผลิตของขวัญเอาไว้ให้สำหรับผู้มีบุญที่ได้ทำบุญสร้างโรงเรียนพระปริยัติขึ้นมา โดยหลวงปู่ท่านของอาราธนาพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ทั้งหมดเลยไม่ว่าจะมีมากน้อยมากขนาดไหนทั้งที่เข้านิพพานไปแล้วตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ หรือเข้านิพพานไปเก่า ๆ แก่ ๆ มีธาตุธรรมแก่ ๆ กายใหญ่โตสวยงาม มีอานุภาพมาก มีพลังบุญพลังบารมีมาก โดยไม่ซ้ำธาตุ ซ้ำธรรม ไม่ซ้ำพระพุทธเจ้า คือ พอท่านอาราธนาออกมาชุดหนึ่ง ท่านก็เอาพลังบุญ พลังบารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด เอาบุญศักดิ์สิทธิ์ มาทำความศักดิ์สิทธิ์ให้บังเกิดขึ้นกับพระของขวัญ โดยทำตลอดต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันเข้าพรรษา จนถึงวันออกพรรษา

          ซึ่งผู้รับพระของขวัญองค์แรก ก็คือ หลวงปู่วัดปากน้ำ โดยท่านต้องทำบุญสร้างโรงเรียนพระปริยัติก่อน เพราะหลวงปู่ท่านถือว่าพระของขวัญนี้เป็นของพระนิพพานท่านแค่เป็นผู้ควบคุมดูแลในการผลิตเท่านั้น ดังนั้นก่อนจะรับท่านจึงร่วมทำบุญด้วยตนเอง 25 บาท แล้วรับไว้ 1 องค์ เป็นองค์ปฐม คือ เป็นองค์แรก จากนั้นพระเณรในวัดและเจ้าภาพที่ทำบุญตั้งแต่ 25 บาทขึ้นไป ก็รับเป็นองค์ต่อ ๆ ไป

          และที่สำคัญ เมื่อมีผู้รับพระของขวัญไปแล้ว หลวงปู่ท่านก็ยังคุมทีมงานทำวิชชาให้ทำความละเอียด ทับทวีความศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดขึ้นกับพระของขวัญอย่างตลอดต่อเนื่อง ตลอดวันตลอดคืน เพื่อให้พระของขวัญศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป คือ เมื่อพระของขวัญไปอยู่กับบุคคลใดแล้ว ก็ให้ไปบันดาลให้เขาสมปรารถนา ให้ไปปกปักรักษาชีวิตและทรัพย์สินของเขา เมื่อเวลาเขาจะเดินทางไปเหนือล่องใต้ โดยทางรถ ทางเรือ หรือไปด้วยยวดยานพาหนะอันใด ก็ขออย่าให้เขาอย่ามีเหตุเภทภัย ให้มีปาฏิหาริย์ไม่ซ้ำปาฏิหาริย์...

          หลวงปู่ท่านเคยพูดว่า คนที่ได้พระของขวัญไป จะมีสมบัติติดตัวพันล้าน ซึ่งการที่หลวงปู่ท่านเปรียบเทียบอย่างนี้ เพราะการถวายปัจจัย 25 บาท เพื่อสร้างโรงเรียนพระปริยัติในช่วงนั้น เป็นการทำบุญถูกเนื้อนาบุญ คือ ถูกองค์พระธรรมกายนับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน เพราะได้ทำกับหลวงปู่และพวกที่เข้าถึงพระธรรมกายโดยตรง ดังนั้นแม้จะทำบุญจำนวนน้อย เวลาบุญส่งผลก็จะได้มากและแม้ทำบุญจำนวนมาก เวลาบุญส่งผล ก็จะได้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไปเป็นทับทวี เหมือนบัณฑิตในกาลก่อนที่ได้ถวายทานแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว เวลาบุญส่งผลก็ทำให้เขาได้เป็นถึงพระเจ้าจักรพรรดิ มีสมบัตินับอนันต์ นับภพนับชาติไม่ถ้วนเลยทีเดียว...

          แม้ว่าในบางครั้ง หลวงปู่ท่านอยากจะให้พระของขวัญแก่ผู้ใดเป็นการส่วนตัว ท่านก็ยังต้องให้ผู้นั้นบริจาคปัจจัยทำบุญสร้างโรงเรียนพระปริยัติให้แก่วัดเหมือนกัน เพราะท่านถือว่า ท่านผลิตพระของขวัญออกมาก็เพื่อวัด ไม่ใช่ทำเพื่อส่วนตัว ดังนั้นจึงมอบพระของขวัญให้ผู้ใดไปเปล่า ๆ ไม่ได้

          ที่สำคัญหลวงปู่ยังประกาศไม่ให้ใครนำพระของขวัญออกไปแจกนอกวัด อย่างครั้งหนึ่ง สมเด็จป๋า (พระสังฆราชองค์ที่ 17) พูดกับหลวงปู่ว่า จะขอพระของขวัญจากหลวงปู่ เพื่อเอาติดตัวไปตามหัวเมืองต่าง ๆ และเมื่อใครต้องการ ก็จะให้เป็นของขวัญแก่เขา

          ซึ่งหลวงปู่ก็บอกว่า “ทำอย่างนั้นไม่ได้ พระของเรามีคุณภาพจริง ผู้อยากได้ต้องมาเอาเอง ถ้าเอาไปอย่างนั้น ของดีก็กลายเป็นของเก๊ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อมใส” และหลวงปู่ยังพูดแถมท้ายอีกว่า “อย่ากลัวเลย..แปดหมื่นสี่พันองค์ 2 หน ก็ไม่พอแจก” ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่หลวงปู่พูดไว้ไม่มีผิด ทั้ง ๆ ที่ทางวัดไม่ได้ทำใบปลิวแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์อะไรใหญ่โตเลย แต่เมื่อคนที่รับพระของขวัญจากหลวงปู่ไปแล้ว ได้เจออานุภาพเรื่องราวความมหัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อ ก็ทำให้ข่าวความศักดิ์สิทธิ์ของพระของขวัญแพร่สะพัดกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้มีคนข้ามน้ำข้ามทะเล เหมารถ เหมาเรือ แห่กันมาจากต่างจังหวัด จากต่างประเทศ เพื่อไปขอรับพระของขวัญกันอย่างเนืองแน่นประดุจวัดปากน้ำมีงานมหรสพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันวิสาฆบูชา มีคนเดินทางไปรับพระของขวัญมากถึง 1,500 คน จนทำให้หลวงปู่ท่านต้องย้ายสถานที่แจกพระของขวัญไปที่อุโบสถ โดยจัดระบบระเบียบในการมอบพระของขวัญใหม่ โดยหลวงปู่ท่านจักให้มีพระภิกษุคอยจัดคนเข้า-ออกจากอุโบสถคนละประตู คือ ประตูหน้าเป็นทางเข้าไปรับพระ และเมื่อรับแล้วให้ออกประตูหลัง และแต่ละรอบของการรับพระนั้น หลวงปู่ท่านจะให้คนทยอยเข้ามาเต็มอุโบสถก่อนจากนั้นท่านก็สั่งปิดประตู ซึ่งเมื่อสาธุชนทยอยกันรับไปเรื่อย ๆ จนคนในอุโบสถเริ่มน้อยลงแล้ว หลวงปู่ท่านจึงสั่งให้เปิดประตูรับคนเข้าไปใหม่
 


          ในวันหนึ่ง ๆ หลวงปู่ท่านจะอธิบายให้ผู้ที่จะรับพระของขวัญได้ทราบถึงวิธีอาราธนาพระของขวัญเป็นร้อย ๆ รอบ ซึ่งแต่ละรอบท่านยังเล่าถึงอานุภาพพระของขวัญ ที่มีคนรับไปแล้วได้ประสบกับตัวเองไว้ดังนี้

          “บัดนี้ ท่านทั้งหลายทั้งหญิงและชายได้เสียสละเวลาให้เป็นส่วนของพระพุทธศาสนาโดยตรง มาสมทบทุนสร้างโรงเรียนพระปริยัติที่ท่านได้เสียสละโลกิยทรัพย์สร้างโรงเรียนพระปริยัติอย่างนี้ได้ชื่อว่าทำถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนา เรียกว่าเป็นศาสนสมบัติให้ศาสนาแล้ว ท่านผู้สร้างสมบัติให้ศาสนานั่นแหละ จักเป็นเหตุที่ตั้งให้มีสมบัติไม่รู้จักสิ้นเสื่อม

          เหตุนี้ ท่านทั้งหลายที่ได้เสียสละทรัพย์ลงไปแล้ว 25 บาท 30 บาท 50 บาท ตามศรัทธาของตนที่สละลงไปนั้นได้ชื่อทำผลถาวรให้แก่เจ้าของทรัพย์นั่นเอง ซึ่งจะได้รับผลต่อไปในภายภาคหน้าที่ฝากไว้ในพระพุทธศาสนาเช่นนี้ ไม่เสื่อมทรามนับชาติไม่ถ้วนเพราะ ท่านบริจาคของ ท่านสละทรัพย์ จะส่งผลให้ท่านในมนุษย์ก็จะส่งผลของมนุษย์ให้ ในทิพย์ก็จะส่งผลที่เป็นทิพย์ให้ ในกามภพนี้จะได้สมบัติในภายหน้านับประมาณไม่ได้ เหตุนี้ดังนี้ ท่านทั้งหลายได้เป็นผู้อุปถัมภ์พระศาสนาเช่นนี้

          ฝ่ายทางพระศาสนาที่ได้รับสมบัติของท่าน ก็จะมีของตอบแทนแก่ท่าน คือ ของศักดิ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเราทั้งหลายยังไม่เคยพบเคยเห็นว่าศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ อาจจะเป็นได้จริงหรือคาดคะเนไม่ถูก

           ผู้พูดนี้เองเป็นผู้อาราธนาพระพุทธเจ้าในนิพพานมีธรรมกายมากด้วยกัน ได้ไปอาราธนาพระพุทธเจ้ามานับพระนิพพานไม่ถ้วนนับอสงไขยก็ไม่ถ้วน มาผลิตของขวัญนี้ให้ปรากฏขึ้นในมนุษย์ธรรมกายในมนุษย์นี้ก็ได้เข้าสมทบด้วย ดูแลการงานนั้น ๆ  ท่านทำอย่างไร ก็ทำไปตามท่าน พระพุทธเจ้าท่านจัดแจงทำทั้งนั้น ตั้งแต่วันเข้าพรรษาจนกระทั่งถึงวันออกพรรษาวินาทีหนึ่งไม่ได้หยุดเลย ท่านกระทำความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน พอออกพรรษาแล้ว พอได้อรุณก็สำเร็จด้วยความประสงค์ของท่านในการผลิตของขวัญ องค์ต้นทรงรับสั่งว่า “ขอศักดิ์สิทธิ์นี้บังเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก” แล้วก็หับพระโอษฐ์ทีเดียว เมื่อรับสั่งดังนี้แล้ว เราก็คำนวณว่า ศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่ไหนเพียงใด คำนวณไม่ถูก

           ผู้พูดนี้ก็ได้ลงมือแจกในวันแรม 6 ค่ำ เป็นวันเกิดของผู้พูดนี้ได้แจกของขวัญออกไป อัศจรรย์ต่าง ๆ ความศักดิ์สิทธิ์ของของขวัญนั้น ผู้ที่ได้รับไปแล้ว นางเขียว บางไผ่ เป็นผู้หญิงอายุ 80 กว่า ได้รับพระเอาไปแล้วเอาไปไว้บนหลังมุ้ง พอค่ำลงเท่านั้นเปล่งรัศมีสว่างเต็มบ้านเต็มช่อง พากันตกตะลึงเพราะไม่รู้เรื่องอะไรกันทะเลิ่กทะลักไปตามกันพักใหญ่นานอยู่ แล้วแสงนั้นก็ค่อยโทรมลงไป โทรมลงไป ก็มารวมอยู่ที่สว่างของมุ้ง นางเขียวก็รู้ว่าพระของขวัญเอาไว้ที่นั่นแสงสว่างนี้ออกจากพระของขวัญพระนั้นเอง แต่เช้าเชียวมาหาผู้พูดนี้ บอกว่าท่าน เมื่อคืนนี้แสงสว่างเกิดขึ้นที่บ้านดิฉันพระท่านเปล่งรัศมีสว่างเชียว เดิมทีก็ไม่รู้ว่าอะไร แล้วก็มารวมอยู่ที่พระ จึงรู้ว่าพระ รูปรางนางเขียวเมื่อวันมารับพระของขวัญนั้น มีโรคภัยไข้เจ็บเป็นประจำอยู่ คืนเดียวเท่านั้น เวลามาบอกเช้า ร่างกายเปล่งปลั่งไปหมด แปลกกว่าปกติเดิมทีเดียว ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาไปหมด ดูสะอาดสะอ้าน มีผิวพรรณวรรณะ เขารู้สึกกว่าของขวัญนี้อัศจรรย์ แปรชั่วเป็นดีได้ขนาดนี้เชียวหนอ เรารู้สึกว่า ศักดิ์เพียงแค่นี้และหรือ”

          ผู้ที่ได้รับพระของขวัญไปบูชาคล้องติดตัว ก็จะได้เจออานุภาพพระของขวัญกันมากมายหลายแบบ ซึ่งบางคนก็เจอพระของขวัญของตัวเองพูดได้ คือ เวลามีเหตุเภทภัย พระของขวัญก็จะเปล่งเสียงเตือนเจ้าของให้ไปทางโน้นทางนี้ จนกระทั่งรอดปลอดภัย หรือวันดีคืนดี วันขึ้น 15 ค่ำ อยู่ ๆ พระของขวัญก็แสดงอานุภาพให้เจ้าของเห็นโดยการลอยขึ้นแล้วเปล่งรัศมีเป็นแสงขาวนวลเท่าลูกมะพร้าวลอยออกไป และพอถึงเวลาก็ลอยกลับคืนมา หรือบางคนก็เจออานุภาพทำมาค้าขึ้น ร่ำรวยจนตัวเองแปลกใจ หรือบางคนตกต้นตาลสูง  ๆ แล้วไม่เป็นอะไรก็มี หรือบางคนประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตก คนอื่นตายหมด แต่ตัวเองกลายเป็นคนที่รอดมาได้อย่างเหลือเชื่อนอกจากนี้ยังมีบางคนที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง โดยคนรอบข้างที่ไปด้วยกันเสียชีวิตหมด แต่ตัวเองซึ่งแขวนพระของขวัญติดตัวกลับรอดชีวิตมาได้อย่างน่าอัศจรรย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารที่ออกรบในสมัยสงครามเกาหลี หลวงปู่ท่านเล่าว่า
 
          “ที่เขาเล่าในทางเกาหลี ทหารอังกฤษ อเมริกา ทหารฝรั่งกำลังคุยกันอยู่ มีทหารไทยอยู่บ้าง ลูกระเบิดทำลายมันตกลงกลางประชุมกำลังคุยกันอยู่นั้น ปึงเดียวเท่านั้นตายหมด เหลือไทยคนเดียวมีของขวัญอยู่ในตัว ฝรั่งให้เหรียญกล้าหาญแก่ไทยคนนั้นยังปรากฏอยู่นี่ความศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น”

          เรื่องอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของพระของขวัญนี้ หนังสือพิมพ์บางกอกไทม์ ปีที่ 6 สัปดาห์ที่ 280 วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 ได้เสนอข่าวตีพิมพ์จดหมายของ สิบตรี วาสนาอาคมวัฒนะ แห่งกรมผสมที่ 21 ที่เขียนมาจากเกาหลี ซึ่งได้เล่าถึงอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของพระของขวัญที่ตนและเพื่อนอีกคนหนึ่งได้รับไปจากพระเดชพระคุณพระคุณหลวงปู่ว่า

           “กระสุนปืนใหญ่ของข้าศึกยิงถูกคลังกระสุนไฟไหม้ทั้งน้ำมันจนเกิดเป็นแสงอร่ามไปทั่ว ผู้ที่พักอยู่ในที่นั้นต้องกระจัดกระจายไปปืนและเครื่องเหล็กละลายไปกับกองไฟใหญ่นั้น เพื่อนทหารคนหนึ่งทิ้งห่อพระไว้ ตอนสาย ๆ เพลิงค่อยสงบลงจึงรีบรุดไปยังที่นั่นกันก็เห็นพระอันน่าประหลาดที่ห่อผ้าเช็ดหน้าแขวนเด่นอยู่กับเสาเหล็กเป็นที่ประหลาดใจแก่ทหารทั้งหลายเป็นอันมาก เพราะแม้แต่เหล็กก็ยังละลายแต่ผ้าข้าวที่ห่อพระไม่ได้ลงเลขยันต์อะไร กับพระอีกองค์หนึ่งยังคงอยู่ในสภาพปกติมิได้เสียหายเลย เป็นพระเครื่องวัดปากน้ำภาษีเจริญ ส่วนพระเครื่องของอาจารย์ต่าง ๆ แหลกละเอียด อีกทั้งนั้นตนเองก็รอดตายจากสมรภูมิหลายต่อหลายครั้ง เนื่องจากมีการยิงขนาดเผาขนกันไม่เว้นแต่ละวัน ก็รอดมีชัยมาได้ทุกครั้ง บางครั้งอยู่ในวิถีปืนที่ยิงมาอย่างหนักถ้าไม่มีโอกาสเพ่งศูนย์กลางตัว ก็เพียงภาวนาดังกล่าว และระลึกถึงอาจารย์ คือ หลวงปู่ ก็พอแล้ว สามารถคุ้มกันได้และพลอยคุ้มกันเพื่อนฝูงไปได้อีกด้วย”
          

หล่อหลวงปู่ทองคำ องค์ที่ 7
 
 
 
  

พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายของพระพุทธองค์ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายของพระพุทธองค์อานุภาพหลวงปู่


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
อานุภาพหลวงปู่ ตอน 3 ศูนย์ (0) ปริศนา ชะตาชีวิตอานุภาพหลวงปู่ ตอน 3 ศูนย์ (0) ปริศนา ชะตาชีวิต

พยากรณ์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำองค์ปัจจุบันพยากรณ์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำองค์ปัจจุบัน

วัดบางปลาวัดบางปลา



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

มหาปูชนียาจารย์