อานิสงส์การถือธุดงควัตร (ภาคพิเศษ) ตอนที่ 11


[ 1 มี.ค. 2555 ] - [ 18292 ] LINE it!

ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2555
อานิสงส์การถือธุดงควัตร (ภาคพิเศษ) ตอนที่ 11


 
 
 
อานิสงส์การถือธุดงควัตร (ภาคพิเศษ) ตอนที่ 11
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
 
 พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเศวตฉัตรอันยิ่งใหญ่ทรงรู้สึกสลดหดหู่พระทัยเป็นอย่างมาก

พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเศวตฉัตรอันยิ่งใหญ่ทรงรู้สึกสลดหดหู่พระทัยเป็นอย่างมาก
 
     ตอนที่แล้ว คลิก  ในเวลาต่อมาในขณะที่พระราชกุมาร ทรงตื่นขึ้นจากการบรรทมบนที่นอนอันอ่อนนุ่มภายใต้เศวตฉัตรสีขาวสวยงามก็ได้ทอดพระเนตรเห็นเศวตฉัตรอันยิ่งใหญ่ที่ประดับอยู่เหนือพระแท่นบรรทม ทันทีที่พระราชกุมารได้ทอดพระเนตรเห็นเศวตฉัตรเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงแลเห็นถึงฐานะอันยิ่งใหญ่ของตัวพระองค์เอง ว่าในอนาคตพระองค์ก็จะต้องเสวยราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาอย่างแน่นอน เมื่อพระราชกุมารทรงดำริเช่นนี้แล้ว ความรู้สึกสลดหดหู่พระทัยที่จากเดิมพระองค์ก็ทรงมีอยู่แล้วมาในตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นก็กลับยิ่งถาโถมเพิ่มพูนขึ้นมาในพระหฤทัยของพระราชกุมารเป็นอย่างมาก
 
ก่อนที่พระองค์จะมาประสูติเป็นพระราชโอรสพระองค์ได้บังเกิดอยู่ในเทวโลก  

ด้วยอานุภาพแห่งบุญจึงดลบันดาลให้พระราชกุมารทรงระลึกชาติหนหลังได้ว่า
ก่อนที่พระองค์จะมาประสูติเป็นพระราชโอรสพระองค์ได้บังเกิดอยู่ในเทวโลก 

      เมื่อความไม่สบายพระทัยได้บังเกิดขึ้นกับพระราชกุมารเช่นนี้ พระองค์จึงทรงดำริว่า “เรามาอยู่ในวังนี้ได้อย่างไร” และด้วยอานุภาพแห่งบุญที่พระราชกุมารได้สั่งสมมาอย่างดีแล้วนี้เอง จึงดลบันดาลให้พระราชกุมารทรงระลึกชาติหนหลังได้ว่าก่อนที่พระองค์จะมาประสูติเป็นพระราชโอรสนั้น  พระองค์ได้เคยบังเกิดอยู่ในเทวโลก และเมื่อพระองค์ระลึกชาติย้อนหลังกลับไปอีก พระองค์ก็ทรงพบว่าตัวพระองค์เองได้เคยไปเสวยทุกข์อันแสนสาหัสอยู่ในอุสสทนรกยาวนานถึง 8 หมื่นปี ซึ่งเป็นผลมาจากวิบากกรรมที่พระองค์ได้เคยเป็นพระราชาปกครองเมืองนี้มา 20 ปี ซึ่งในระหว่างที่พระองค์เป็นพระราชา พระองค์ก็ได้เคยพิพากษาลงอาญานักโทษมาอย่างมากมาย    

     เมื่อพระราชกุมารได้ทรงเห็นถึงเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตของตัวพระองค์เองเช่นนี้ พระองค์จึงทรงดำริว่า “ ถ้าหากตัวเราขึ้นครองราชย์เป็นพระราชาต่อจากพระราชบิดา เราก็คงจะต้องไปเสวยทุกข์อันแสนสาหัสอยู่ในนรกอีกยาวนานอย่างแน่นอนช่างเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่ากับชีวิตของตัวเราเลย ในตอนนี้เราไม่มีความปรารถนาอยากจะเป็นพระราชาและไม่อยากได้ราชสมบัติใดๆ อีกแล้ว  ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหาวิธีที่จะทำให้ตัวเราหลุดพ้นจากที่แห่งนี้ไปให้ได้”
 
ท่านเทพธิดาซึ่งสถิตอยู่ที่เศวตฉัตรได้ มาบอกอุบายว่าให้พระองค์ทรงแกล้งทำเป็นเหมือนคนใบ้ คนหนวก คนง่อยเปลี้ย 
 
ท่านเทพธิดาซึ่งสถิตอยู่ที่เศวตฉัตรได้ มาบอกอุบายว่าให้พระองค์
ทรงแกล้งทำเป็นเหมือนคนใบ้ คนหนวก คนง่อยเปลี้ย 

     ในขณะที่พระราชกุมาร กำลังดำริหาวิธีการที่จะทำให้ตัวพระองค์หลุดพ้นจากพระราชมณเฑียรและไม่ต้องขึ้นครองราชย์สมบัติต่อจากพระราชบิดาอยู่นั้น ด้วยบุญที่พระองค์ได้สั่งสมเอาไว้อย่างดีแล้วนี้เองจึงได้ไปดลบันดาลให้ท่านเทพธิดาซึ่งสถิตอยู่ที่เศวตฉัตรได้ทราบถึงความปรารถนาของพระองค์ แล้วท่านเทพธิดาก็ไม่รอช้าได้ มาบอกอุบายว่า “ถ้าหากพระองค์ต้องการจะหลุดพ้นจากพระราชมณเฑียรนี้ ก็ให้พระองค์ทรงแกล้งทำเป็นเหมือนคนใบ้ คนหนวก คนง่อยเปลี้ยและอย่าแสดงตัวว่าเป็นคนฉลาด เมื่อพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ คนอื่นๆ เขาก็จะดูหมิ่นว่าพระองค์เป็นคนกาลกิณี จากนั้น พวกเขาก็จะนำเอาตัวพระองค์ออกไปจากพระราชมณเฑียรในที่สุด”
 
พระราชกุมารทรงทราบอุบายแล้วทรงเริ่มปฏิบัติในทันที 
 
พระราชกุมารทรงทราบอุบายแล้วทรงเริ่มปฏิบัตินทันที

     เมื่อพระราชกุมารได้ทรงทราบอุบายจากท่านเทพธิดาแล้ว พระองค์ก็ทรงเริ่มปฏิบัติการตามแผนของท่านเทพธิดาในทันที คือพระองค์ได้ทรงแสร้งทำเป็นอัมพาตนอนนิ่งไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น และแม้ว่านางนมจะถวายน้ำนมให้แด่พระองค์ผิดเวลาหรือไม่ถวายเลยตลอดทั้งวัน พระองค์ก็ไม่เคยร้องไห้ขอเสวยนมเลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดวิสัยหรือผิดปกติของเด็กอ่อนทั่วๆ ไปเป็นอย่างมาก

พี่เลี้ยงนางนมก็ได้ทดลองเอาขนมหลายๆ อย่าง มาวางไว้ใกล้ๆ พระองค์แต่พระองค์ก็ยังทรงนิ่งเฉยและดูเหมือนเป็นคนอัมพาตอยู่ตลอดเวลา
 
พี่เลี้ยงนางนมก็ได้ทดลองเอาขนมหลายๆ อย่าง มาวางไว้ใกล้ๆ พระองค์
 แต่พระองค์ก็ยังทรงนิ่งเฉยและดูเหมือนเป็นคนอัมพาตอยู่ตลอดเวลา 
 
      จนกระทั่งเมื่อพระราชกุมารทรงเติบใหญ่ได้ 1 ชันษา พี่เลี้ยงนางนมก็ได้ทดลองเอาขนมหลายๆ อย่าง มาวางไว้ใกล้ๆ พระองค์ แต่ถึงกระนั้นขนมทั้งหลายก็ไม่สามารถทำให้พระองค์แปรเปลี่ยนความตั้งใจจากเดิมไปได้เลยแม้แต่น้อย คือพระองค์ก็ยังทรงนิ่งเฉยและดูเหมือนเป็นคนอัมพาตอยู่ตลอดเวลาที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะพระองค์ทรงอดกลั้นและสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า “ถ้าหากอยากกลับไปตกนรกอีกก็จงกินขนมเหล่านั้นเถิด”  
 
แม้จะถูกนำตัวไปไว้ใกล้ๆ งูที่กำลังเลื้อยมารัด ช้างตกมัน และถูกราชบุรุษกวัดแกว่งเงื้อดาบทำทีเป็นเหมือนจะตัดพระเศียร
 
แม้จะถูกนำตัวไปไว้ใกล้ๆ งูที่กำลังเลื้อยมารัด ช้างตกมัน
และถูกราชบุรุษกวัดแกว่งเงื้อดาบทำทีเป็นเหมือนจะตัดพระเศียร
 
     แม้ว่าพี่เลี้ยงนางนมจะทดลองและหลอกล่อพระราชกุมาร ด้วยขนมวันแล้ววันเล่าก็ตามแต่พระองค์ก็ไม่เคยสนใจขนมเหล่านั้นเลยแม้แต่นิดเดียวและเมื่อพระราชกุมารทรงมีพระชนมายุมากขึ้นพระองค์ก็ทรงถูกทดลองด้วยวิธีการที่แรงขึ้น เช่น ถูกนำตัวไปวางไว้ในศาลาที่ไฟกำลังไหม้บ้าง ถูกนำไปวางไว้ใกล้ๆ ช้างตกมันเพื่อทำให้พระกุมารกลัวบ้าง  ถูกนำไปไว้ใกล้ๆ งูที่กำลังเลื้อยมารัดและแผ่พังพานอยู่บนพระเศียรบ้าง   และถูกราชบุรุษกวัดแกว่งเงื้อดาบทำทีเป็นเหมือนจะตัดพระเศียรของพระองค์เป็นต้นซึ่งแบบทดสอบที่พระราชกุมาร ได้ทรงเจอะเจอดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของบททดสอบทั้งหมดเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้วยังมีการทดลองอีกเยอะแยะมากมายที่ไม่ได้กล่าวถึง 
 
แม้จะถูกทดลองด้วยวิธีการที่หลากหลายแต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงรู้สึกหวาดหวั่นหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
 
แม้จะถูกทดลองด้วยวิธีการที่หลากหลายแต่พระองค์
ก็ไม่ได้ทรงรู้สึกหวาดหวั่นหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย 
 
     แม้ว่าพระราชกุมาร จะถูกทดลองด้วยวิธีการที่หลากหลายเช่นนั้นก็ตามแต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงรู้สึกหวาดหวั่นหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งพระองค์ก็ยังทรงบรรทมแน่นิ่งอยู่บนที่นอนพร้อมทั้งสอนตัวเองอยู่เสมอว่า“ถ้าหากเราจะต้องตายเพราะสิ่งเหล่านี้ก็ยังดีเสียกว่าที่จะต้องพลัดตกไปในนรกที่มีความน่ากลัวมากกว่านี้หลายร้อยหลายล้านเท่า”
 
 เมื่อพระชนมายุได้ 16 ชันษา พระองค์ก็ทรงถูกทดลองด้วยกามคุณแต่พระองค์ก็ไม่ได้เกิดความลุ่มหลงแม้แต่นิดเดียว
 
เมื่อพระชนมายุได้ 16 ชันษา พระองค์ก็ทรงถูกทดลองด้วยกามคุณ 
แต่พระองค์ก็ไม่ได้เกิดความลุ่มหลงแม้แต่นิดเดียว

     และเมื่อพระราชกุมาร เติบโตเป็นวัยรุ่นมีพระชนมายุได้ 16 ชันษา พระองค์ก็ทรงถูกทดลองด้วยกามคุณ  คือ มีเหล่าสตรีนักฟ้อนพราวเสน่ห์งามดุจดั่งเทพอัปสรมาปรนนิบัติบำเรอเพื่อล่อให้พระองค์ติดกับดัก แต่ไม่ว่าสตรีนักฟ้อนทั้งหลายจะฟ้อนรำ  ขับร้อง  หรือบำเรอพระองค์มากขนาดไหนก็ตามพระองค์ก็ไม่ได้เกิดความลุ่มหลงหรือยินดีในสตรีนักฟ้อนเหล่านั้นเลยแม้แต่นิดเดียว  

อุบายที่ใช้ทดลองกับพระราชกุมาแท้ที่จริงแล้วก็เป็นนโยบายของพระราชบิดา 
 
อุบายที่ใช้ทดลองกับพระราชกุมารแท้ที่จริงแล้วก็เป็นนโยบายของพระราชบิดา 
 
     สำหรับอุบายที่ใช้ทดลองกับพระราชกุมาร ตลอด 16 ปีนั้นแท้ที่จริงแล้วก็เป็นนโยบายของพระราชบิดากับพระราชมารดาของพระองค์นั่นเอง   ซึ่งการที่ท่านทั้งสองทรงกระทำเช่นนี้นั้นก็ไม่ใช่ว่าท่านทั้งสองจะทำไปด้วยความสะใจหรือมีความสุขใจที่ได้ทรมานพระราชกุมาร  แต่ท่านทั้งสองต้องฝืนพระทัยและจำใจทำลงไปเพราะทรงหวังลึกๆ ว่า “พระราชโอรสจะทรงกลับมามีอาการเป็นปกติเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ทั่วๆ ไป ”

พระราชบิดาได้ปรึกษากับคณะพราหมณ์โหราจารย์ว่าควรจะทำอย่างไรดี

พระราชบิดาได้ปรึกษากับคณะพราหมณ์โหราจารย์ว่าควรจะทำอย่างไรดี 
 
     แต่เมื่อพระราชบิดากับพระราชมารดาทรงทดลองทุกวิถีทางแล้ว ท่านทั้งสองก็ยังไม่อาจที่จะทำให้พระราชโอรส กลับมาเป็นปกติได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระราชบิดา จึงได้ปรึกษากับคณะพราหมณ์โหราจารย์ว่า “พระองค์ควรจะทำอย่างไรดี”  ซึ่งคณะพราหมณ์โหราจารย์ก็อับจนปัญญาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่ถ้าหากพวกเขาไม่กราบทูลตอบพระราชา ภัยก็จะมาถึงพวกเขาอย่างแน่นอน
 
      ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงได้กราบทูลพระราชาไปว่า “ข้าแต่มหาราชเจ้าถ้าพระราชกุมารยังอยู่ในพระราชมณเฑียรนี้ ภัย 3 อย่างจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งภัย 3 อย่างที่ว่าก็คือ ภัยต่อชีวิตของพระองค์  ภัยต่อเศวตฉัตร และภัยต่ออัครมเหสี เพราะฉะนั้น พระองค์ควรที่จะนำพระราชกุมารไปฝังในป่าช้าผีดิบโดยด่วน เพื่อเป็นการป้องกันภัย 3 อย่างดังกล่าวที่กำลังจะเกิดขึ้น ”

      ส่วนว่าเมื่อพระราชาได้ทรงสดับคำกราบทูลของคณะพราหมณ์โหราจารย์แล้ว พระองค์จะทรงตัดสินพระทัยทำอย่างไรต่อไปนั้น เราก็คงจะต้องอดใจรอมารับฟังกันต่อในตอนต่อไป


รับชมวิดีโอ
 
 
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
DMC ที่โซโลมอนDMC ที่โซโลมอน

Solomon Islands หมู่เกาะมนุษย์กินคนSolomon Islands หมู่เกาะมนุษย์กินคน

เกาะที่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากที่สุด ที่มนุษย์อยู่ได้เกาะที่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากที่สุด ที่มนุษย์อยู่ได้



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ช่วงเด่นฝันในฝัน