อานิสงส์การถือธุดงควัตร (ภาคพิเศษ) ตอนที่ 12


[ 11 มี.ค. 2555 ] - [ 18275 ] LINE it!

ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2555
อานิสงส์การถือธุดงควัตร (ภาคพิเศษ) ตอนที่ 12


 
 
 
อานิสงส์การถือธุดงควัตร (ภาคพิเศษ) ตอนที่ 12
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา


พระองค์จึงทรงรับสั่งให้นำตัวพระราชกุมาร หรือพระเตมีย์โพธิสัตว์ ไปฝังในป่าช้าผีดิบ
 
พระองค์จึงทรงรับสั่งให้นำตัวพระราชกุมาร หรือพระเตมีย์โพธิสัตว์ ไปฝังในป่าช้าผีดิบ
  
        หลังจากที่พระราชาได้ฟังคำกราบทูลของคณะพราหมณ์โหราจารย์แล้ว พระองค์ก็ทรงรู้สึกหวาดกลัวต่อภัยอันตรายที่กำลังจะมาถึง ด้วยเหตุนี้เองพระองค์จึงทรงรับสั่งให้นำตัวพระราชกุมาร หรือพระเตมีย์โพธิสัตว์ ไปฝังในป่าช้าผีดิบตามคำกราบทูลของคณะพราหมณ์โหราจารย์ในทันที
 
        เมื่อพระราชกุมาร หรือพระเตมีย์โพธิสัตว์ ทรงทราบเรื่องนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงรู้สึกปลื้มปีติโสมนัสอย่างแรง ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะ พระราชกุมารทรงรอคอยข่าวดีนี้มานานแสนนานถึง 16 ปี ซึ่งเรื่องนี้นับว่าเป็นข่าวร้ายของมหาชนทั้งหลาย   แต่กลับเป็นข่าวดีที่สุดสำหรับพระองค์เลยทีเดียว
 
พระราชกุมารก็ทรงมีพระประสงค์หรือความตั้งใจ ที่จะลุกขึ้น
 
พระราชกุมารก็ทรงมีพระประสงค์หรือความตั้งใจ ที่จะลุกขึ้น  
 
        และเมื่อถึงวันที่พระราชกุมาร หรือพระเตมีย์โพธิสัตว์ ทรงรอคอยนายสารถีประจำพระราชวังก็ได้อุ้มพระองค์ขึ้นสู่รถที่ได้เตรียมเอาไว้ จากนั้นนายสารถีก็ได้ขับรถแล่นออกจากพระนครไปในทันที หลังจากที่รถแล่นออกจากพระนครไปได้ 3 โยชน์ หรือประมาณ 48 กิโลเมตร นายสารถีก็ได้พบทำเล ที่เหมาะสมสำหรับที่จะฝังพระราชกุมาร หรือ พระเตมีย์โพธิสัตว์ แล้วเขาก็ไม่รอช้าได้รีบลงมือขุดหลุมสำหรับฝังพระราชกุมารหรือ พระเตมีย์โพธิสัตว์ ณ ที่แห่งนั้น
 
        ซึ่งในขณะนั้นเอง พระราชกุมารก็ทรงมีพระประสงค์หรือความตั้งใจ ที่จะลุกขึ้น   แต่ด้วยความที่พระองค์ทรงไม่แน่ใจว่า ตัวพระองค์ยังทรงมีพระกำลังอยู่หรือเปล่า เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงใช้กำลังมาเป็นระยะเวลานานถึง 16 ปี ด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงทรงทดลองลุกขึ้นมาบีบนวดร่างกาย แล้วก็ทรงพระดำเนิน หรือเดิน ไปมาอยู่สักครู่หนึ่ง
 
พระองค์ก็ทรงทดลองกำลังด้วยการจับท้ายของราชรถที่พระองค์ทรงประทับนั่งมาแล้วยกขึ้นเหวี่ยงควงไปมา
  
พระองค์ก็ทรงทดลองกำลังด้วยการจับท้ายของราชรถที่พระองค์ทรงประทับนั่งมาแล้วยกขึ้นเหวี่ยงควงไปมา
 
        หลังจากที่พระราชกุมาร หรือพระเตมีย์โพธิสัตว์ ได้ทรงพระดำเนิน หรือเดิน ไปมาอยู่ครู่หนึ่งแล้ว   ด้วยกำลังบุญบารมีในตัวของพระองค์ที่สั่งสมยาวนาน   จึงทำให้พระองค์ทรงทราบถึงระดับพระกำลังของพระองค์ในทันทีว่า“ถ้าหากพระองค์จะทรงเดินทางร้อยโยชน์ภายในวันเดียว  พระองค์ก็สามารถที่จะทำได้อย่างสบาย ๆ ”
 
        และเมื่อพระองค์ทรงทราบถึงระดับพระกำลังของพระองค์แล้วพระองค์ก็ทรงทดลองกำลังด้วยการจับท้ายของราชรถที่พระองค์ทรงประทับนั่งมาแล้วยกขึ้นเหวี่ยงควงไปมา
 
พระองค์จึงทรงรับสั่งให้วิษณุกรรมเทพบุตรไปประดับพระราชกุมาร  หรือพระเตมีย์โพธิสัตว์ ด้วยเครื่องประดับอันเป็นทิพย์
 
พระองค์จึงทรงรับสั่งให้วิษณุกรรมเทพบุตรไปประดับพระราชกุมาร
 หรือพระเตมีย์โพธิสัตว์ ด้วยเครื่องประดับอันเป็นทิพย์
 
        หลังจากที่พระราชกุมาร หรือพระเตมีย์โพธิสัตว์ ทรงทดลองกำลังของพระองค์แล้ว พระองค์ก็ทรงปรารถนาที่จะได้เครื่องประดับพระองค์และทันทีที่พระองค์ทรงพระดำริ หรือ คิด เท่านั้น   ด้วยกำลังบุญของพระองค์ก็ได้ทำให้อาสนะของท้าวสักกะเทวราชเกิดอาการร้อนขึ้นมาอย่างฉับพลัน จนนั่งไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เองท้าวสักกะเทวราชจึงได้ทรงตรวจดูถึงสาเหตุที่ทำให้อาสนะของพระองค์เกิดอาการร้อน  
 
       และเมื่อท้าวสักกะเทวราชได้ทรงทราบถึงเหตุนั้นแล้ว พระองค์จึงทรงรับสั่งให้วิษณุกรรมเทพบุตรไปประดับพระราชกุมาร หรือพระเตมีย์โพธิสัตว์ ด้วยเครื่องประดับอันเป็นทิพย์ในทันที
 
พระองค์ก็ทรงแลดูละม้ายคล้ายกับท้าวสักกะเทวราชเลยทีเดียว
 
พระองค์ก็ทรงแลดูละม้ายคล้ายกับท้าวสักกะเทวราชเลยทีเดียว  
 
        ภายหลังจากที่พระราชกุมาร หรือพระเตมีย์โพธิสัตว์ ได้รับการประดับพระองค์ด้วยเครื่องประดับอันเป็นทิพย์แล้วพระองค์ก็ทรงแลดูละม้ายคล้ายกับท้าวสักกะเทวราชเลยทีเดียว  จากนั้นพระราชกุมารก็ทรงพระดำเนิน หรือเดิน ไปหานายสารถีแล้วก็ตรัสถามว่า “ท่านจะขุดหลุมไปทำไม   หรือท่านจะขุดหลุมเพื่อใช้ทำอะไร”
 
        เมื่อนายสารถีซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการขุดหลุมจนไม่ได้หันหน้าไปแลดูพระราชกุมาร ได้ยินอย่างนั้น  เขาจึงตอบกลับไปทันทีว่า“พระราชารับสั่งให้เราฝังพระราชโอรสที่เป็นใบ้และพิการดุจคนไร้วิญญาณน่ะซิ”   
 
นายสารถีจึงค่อยๆ หยุดขุดดินแล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองดูพระราชกุมาร
 
นายสารถีจึงค่อยๆ หยุดขุดดินแล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองดูพระราชกุมาร
 
        เมื่อพระราชกุมาร หรือ พระเตมีย์โพธิสัตว์ทรงได้รับคำตอบเช่นนั้น   พระองค์จึงตรัสบอกนายสารถีไปว่า “เรามิได้เป็นใบ้หรือพิการเชิญท่านมองดูเราเถิดถ้าหากท่านฝังเรา   ท่านจะถือว่าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง”
 
        ทันทีที่นายสารถีได้ยินพระดำรัส ของพระราชกุมารหรือพระเตมีย์โพธิสัตว์  เขาก็เกิดความรู้สึกเอะใจและประหลาดใจอย่างแรงว่า “ทำไมเสียงที่ได้ยินนี้จึงมีพลัง  ไพเราะ  และน่าฟังแตกต่างจากเสียงที่เคยได้ยินได้ฟังมา”เมื่อเขารู้สึกอย่างนั้นเขาจึงอยากที่จะมองหาต้นกำเนิดของเสียงที่มีพลังและไพเราะนั้น   ด้วยเหตุนี้เองนายสารถีจึงค่อยๆ หยุดขุดดินแล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองดูพระราชกุมาร ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเสียงที่มีพลังและไพเราะนั้น อย่างช้าๆ  
 
ทำให้นายสารถีจำพระราชกุมารไม่ได้  อีกทั้งเขายังเกิดความรู้สึกสงสัยด้วยว่า“บุคคลท่านนี้เป็นมนุษย์หรือเทวดา
 
ทำให้นายสารถีจำพระราชกุมารไม่ได้  อีกทั้งเขายังเกิดความรู้สึกสงสัยด้วยว่า“บุคคลท่านนี้เป็นมนุษย์หรือเทวดา
 
        และเมื่อนายสารถีได้เห็นพระราชกุมารหรือพระเตมีย์โพธิสัตว์ อย่างจะๆ หรืออย่างชัดๆ แล้ว ด้วยความที่พระราชกุมารทรงได้รับการประดับพระองค์อย่างงดงามประดุดั่งเทวดานี้เอง จึงทำให้นายสารถีจำพระราชกุมารไม่ได้  อีกทั้งเขายังเกิดความรู้สึกสงสัยด้วยว่า“บุคคลท่านนี้เป็นมนุษย์หรือเทวดากันแน่ ”  ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงได้ถามพระราชกุมารว่า“ ท่านเป็นเทวดาหรือท้าวสักกะเทวราชหรือว่าท่านเป็นลูกของใคร” เมื่อพระราชกุมารทรงได้สดับเช่นนั้น พระองค์ก็ตรัสตอบว่า “เราไม่ใช่เทวดาและเราก็ไม่ใช่ท้าวสักกะเทวราช   เราคือโอรสของพระเจ้ากาสิกะราชผู้ที่ท่านกำลังจะฆ่าและฝังเราลงในหลุมนี่แหละ”
 
แล้วเขาก็ไม่รอช้ารีบหมอบกราบพร้อมทั้งกราบทูลวิงวอนว่า “ ขอให้พระองค์เสด็จกลับไปยังพระราชวังเถิด ”
 
แล้วเขาก็ไม่รอช้ารีบหมอบกราบพร้อมทั้งกราบทูลวิงวอนว่า “ ขอให้พระองค์เสด็จกลับไปยังพระราชวังเถิด ”
 
        แม้ว่าพระราชกุมาร หรือพระเตมีย์โพธิสัตว์จะตรัสยืนยันว่าท่านคือพระราชกุมารแล้วก็ตาม แต่นายสารถีก็ยังไม่เชื่อและต้องการจะพิสูจน์ความจริง ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงได้เดินไปตรวจดูที่รถซึ่งก็ปรากฏว่า “ไม่มีใครอยู่ในรถแล้ว”
 
        เมื่อเขาเห็นเช่นนั้น เขาจึงได้รีบเดินกลับมาดูพระราชกุมารอีกครั้ง ซึ่งหลังจากที่เขาได้ดูและพิจารณาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาจึงมั่นใจว่า “บุคคลท่านนี้คือพระราชกุมารจริงๆ” และทันทีที่เขาจำพระราชกุมารได้ เขาก็รู้สึกอัศจรรย์ใจและดีใจว่า“ โอ้พระราชกุมารตรัสได้และก็เดินได้เหมือนคนปกตินี่ ”  แล้วเขาก็ไม่รอช้ารีบหมอบกราบพร้อมทั้งกราบทูลวิงวอนว่า “ ขอให้พระองค์เสด็จกลับไปยังพระราชวังเถิด ”
 
พระองค์ก็ทรงปฏิเสธและไม่ทรงคิดจะหวนกลับไปยังพระราชวังอีกแล้ว
 
พระองค์ก็ทรงปฏิเสธและไม่ทรงคิดจะหวนกลับไปยังพระราชวังอีกแล้ว 
 
        แต่ไม่ว่านายสารถีจะกราบทูลวิงวอนพระราชกุมารหรือพระเตมีย์โพธิสัตว์ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นพระราชาก็คงจะดีพระทัย และพสกนิกรก็คงจะดีใจ เป็นต้น พระองค์ก็ทรงปฏิเสธและไม่ทรงคิดจะหวนกลับไปยังพระราชวังอีกแล้ว   ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะพระองค์ทรงมีเหตุผล   ซึ่งเหตุผลที่ว่านั้นก็คือพระองค์ไม่ได้มีความปรารถนาในราชสมบัติเลยแม้แต่น้อย   เพราะจริงๆ แล้วพระองค์ทรงชอบชีวิตสมณะมากที่สุดและพระองค์ก็ทรงมีพระประสงค์ที่จะออกบวชอยู่ในป่าแห่งนี้ ประหนึ่งจากวังเหมือนนกที่จากคอนฉะนั้น
 
        จากนั้น พระราชกุมาร หรือพระเตมีย์โพธิสัตว์ ก็ได้ตรัสถามนายสารถีว่า. “เธออยากรู้มั้ยว่าทำไมเราต้องแสร้งทำเป็นคนใบ้และคนพิการมายาวนานถึง 16 ปี    และเมื่อมาถึงวันนี้เราก็กลับมาเป็นคนที่แข็งแรงและพูดได้เหมือนคนปกติเช่นนี้
 
ส่วนว่าพระราชกุมารจะเฉลยว่าอย่างไรต่อไปนั้น   เราก็คงจะต้องมาติดตามกันต่อในตอนต่อไป  
 


รับชมวิดีโอ
 
 
 


Desktop Version Desktop Version    



บทความที่เกี่ยวข้อง
DMC ที่โซโลมอนDMC ที่โซโลมอน

Solomon Islands หมู่เกาะมนุษย์กินคนSolomon Islands หมู่เกาะมนุษย์กินคน

เกาะที่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากที่สุด ที่มนุษย์อยู่ได้เกาะที่ใกล้ขั้วโลกเหนือมากที่สุด ที่มนุษย์อยู่ได้



Home

อ่านธรรมะ

ธรรมะมาแรง

ช่วงเด่นฝันในฝัน